แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 67
1
จัดฟันบางนา: สุดยอดนวัฒกรรม ! ฟันแข็งแรง ดูสวยเป็นธรรมชาติ ด้วยรากฟันเทียม !

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ถือเป็นทางเลือกที่จะทำให้ผู้ที่สูญเสียฟันธรรมชาติไป จนเกิดช่องว่างระหว่างฟันที่ทำให้ไม่มีความมั่นใจ ให้กลับมามีฟันและรอยยิ้มที่สวยอีกครั้ง นอกจากจะทำให้มีรอยยิ้มที่สดใสแล้วยังช่วยในเรื่องของการใช้งานฟัน คือช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษาได้มีฟันที่สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด เพราะฟันของเราทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร และรากฟันเทียมตัวนี้สามารถใช้ทดแทนฟันธรรมชาติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม เป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้ที่สูญเสียฟันธรรมชาติ

แต่ต้องการที่จะกลับมามีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม และมีการใช้งานที่เปรียบเสมือนเป็นฟันธรรมชาติจริงๆ เพราะรากฟันเทียม ผลิตมาจากวัสดุโลหะไทเทเนียม ที่มีความแข็งแรงมาก และทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาจะฝังรากฟันเทียมลงบนกระดูกขากรรไกร ที่ใช้รองรับรากฟันเทียม เพื่อทดแทนส่วนที่เป็นรากฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป ซึ่งรากฟันเทียมโดยทั่วไปจะผลิตจากโลหะผสมไททาเนียม (ชนิดที่ใช้ในทางการแพทย์) ซึ่งเข้ากันได้ดีต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ ขณะเดียวกันก็มีความแข็งแรงคงทน รับแรงบดเคี้ยวและคงรูปได้ดี ซึ่งได้รับความเชื่อถือทางการแพทย์ว่ามีความปลอดภัยสูงสุด ที่จะนำมาใช้ในทางทันตกรรม

สำหรับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น นอกจากช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษามีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ทำให้กลับมามีอยยิ้มที่สดใสแล้ว ยังช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษามาสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นอีกด้วย เนื่องจากการฝังรากฟันเทียมนั้น จะช่วยทำให้กระดูกขากรรไกรไม่ละลาย ช่วยป้องกันการสูญเสียฟันและกระดูกบริเวณข้างเคียง ทำให้ฟันมีความสวยงาม เป็นธรรมชาติมากที่สุด ทั้งยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพช่องปากและฟันด้านอื่นๆอีกด้วย มีความคงทนและถาวรสามารถใช้งานได้ตลอดชีวิต แต่ในข้อนี้ก็ต้องขึ้นอยู่แต่ละบุคคลว่ามีวิธีการดูแลรักษาความสะอาดอย่างไร ถ้าหากผู้เข้ารับการรักษามีการทำความสะอาด ใส่ใจในเรื่องของการใช้งาน ระมัดระวังในเรื่องของการรับประทานอาหารก็จะช่วยให้รากฟันเทียมมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น และยังไม่ส่งผลเสียต่อรากฟันเทียมด้วย

สำหรับผู้ที่จะเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น ทันตแพทย์จะทำการประเมินช่องปากและสภาพฟันของผู้เข้ารับการรักษาว่า การรักษาด้วยวิธีการฝังรากฟันเทียมนั้น เหมาะกับสภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการรักษาหรือไม่ เพราะการฝังรากฟันเทียมนั้น มีข้อจำกัดในการรักษาหลายข้อ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้ารับการรักษาได้ ผู้ที่มีปัญหาการสูญเสียฟันธรรมชาติไป สามารถรับการรักษาด้วยรากฟันเทียมได้โดยไม่กำหนดช่วงอายุ แต่ไม่ควรทำรากฟันเทียมในเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี เนื่องจากกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ นอกจากนี้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ก็ไม่ควรเข้ารับการฝังรากฟันเทียม ทันตแพทยืผู้ทำการตรวจจะแนะนำให้คุณแม่คลอดบุตรเสียก่อน จึงจะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวานที่รุนแรง ไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่ต้องได้รับการฉายรังสีบริเวณใบหน้าและขากรรไกร ผู้ป่วยที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง ผู้ป่วยที่เป็นลูคิเมีย ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าว ควรได้รับการรักษาเพิ่มเติมและควรได้รับอนุญาตจากแพทย์ผู้รักษาก่อนทำการฝังรากเทียม

สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือสูบบุหรี่จัดก็จะมีผลต่อความสำเร็จในการรักษา ส่วนผู้ป่วยจิตเภท ผู้ป่วยที่มีอาการไขข้ออักเสบรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ไม่สามารถดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเองได้ ไม่ควรเข้ารับการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม เพราะอาจจะทำให้เกิดการล้มเหลวของการรักษาได้ หากใครสนใจเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม สามารถเข้าปรึกษาทีมทันตแพทย์ที่คลินิกได้เพราะทางเรามีทันตแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพในการให้บริการทางด้านทันตกรรม จึงมั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพฟันที่แข็งแรง และมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติอย่างแน่นอน

2
จัดฟันบางนา: ปัญหา เลือดไหลไม่หยุด หลังฝังรากฟันเทียม !

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งการรักษาในรูปแบบดังกล่าวนี้เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมาก สามารถใช้ทดแทนฟันธรรมชาติได้อย่างดี แทนการใส่ฟันปลอมในสมัยก่อน ซึ่งการใส่ฟันปลอมนั้นเป็นการรักษาการทดแทนฟันวิธีเดิมๆ ซึ่งนิยมในกลุ่มผู้สูงอายุ และตัวฟันปลอมไม่ได้มีความแข็งแรงมากเหมือนกับฝังรากฟันเทียม เพราะการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม มีการใช้งานที่เสมือนฟันธรรมชาติ เพราะไม่ต้องคอยถอดออกมาทำความสะอาด แต่สามารถทำความสะอาดด้วยการแปรงฟันได้ตามปกติ

และนอกจากนี้การฝังรากฟันเทียมยังมีอายุการใช้งานที่นานพอควร เนื่องด้วยวัสดุที่นำมาทำรากฟันเทียม มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงบดเคี้ยว แต่การฝังรากเทียมนั้น ผู้เข้ารับการรักษาจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่สุขภาพช่องปากให้มากเป็นพิเศษ เนื่องด้วยพื้นผิวของวัสดุและพื้นที่ที่ยากจะเข้าถึงต้องสะอาดจริงๆ หากไม่ได้รับความดูแลเอาใจใส่ก็จะทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย และจะส่งผลให้เกิดภาวะโรคเหงือกอักเสบตามมาได้ โดยการรับประทานอาหารภายหลังจากการผ่าตัด หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของผู้เข้ารับการรักษาจะส่งผลต่อผลการรักษาด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากไม่ปฏิบัติตัวตามคำสั่งของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด อาจจะทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้

นอกจากนี้การดูแลความสะอาด การปฏิบัติตัวหลังจากที่เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน เพราะการดูแลเอาใจใส่ในช่วงของการพักฟื้น จะส่งผลต่อความสำเร็จในการรักษาด้วย เพราะภายหลังจากการรักษาผู้เข้ารับการรักษาอาจจะต้องเจออาการต่างๆ เช่น มีอาการปวด หรือมีอาการบวมบริเวณที่ทำการฝังรากฟันเทียม รวมไปถึงอาจจะมีอาการเลือดไหลไม่หยุด ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นอาการที่ผู้เข้ารับการรักษาอาจจะพบเจอได้ตามปกติ แต่หากผ่านไปหลายวันแล้วอาการเหล่านั้นยังไม่หาย ให้รีบปรึกษาทันตแพทย์ผู้ทำการรักษา

ซึ่งอาการเหล่านี้นั้นจะหายไปในช่วงหนึ่งสัปดาห์แรก ส่วนอาการเลือดไหลไม่หยุดนั้น ในช่วงแรกอาจจะเกิดขึ้นได้บ่อยเนื่องจากแผลที่ได้รับการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะแนะนำว่าหากเลือดยังคงไหลหรือซึมเมื่อเอาผ่าก๊อซออกแล้ว ให้ใช้ผ้าก๊อชแผ่นใหม่วางที่แผล แล้วกัดให้แน่นต่อไปอีก 30 นาที อาจจะต้องทำซ้ำหลายครั้ง หากทำตามขั้นต้นแล้ว เลือดยังคงไหลอยู่ให้ไปพบทันตแพทย์แต่ถ้าหากมีการผ่าไซนัส อาจจะมีเลือดออกจากทางจมูก1-2 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติ อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาบาดแผลภายหลังจาการผ่าตัด ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องทำตามขั้นตอนตามทันตแพทย์สั่ง และต้องทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธีด้วย เพื่อให้แผลมีความสะอาด และป้องกันการติดเชื้อด้วย

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการรับประทานอาหารก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน โดยภายหลังจากที่เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะทำการแนะนำให้รับประทานอาหารที่อ่อนๆ และไม่แข็ง เพราะการรับประทานอาหารที่แข็งหรือเหนียวมากๆ จะต้องทำมีการใช้แรงในการบดเคี้ยวอาหารค่อนข้างมาก ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อรากฟันเทียมได้ นอกจากนี้การสูบบุหรี่หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถือเป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะการสูบบุหรี่จะส่งผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพช่องปาก

รวมไปถึงสุขภาพโดยรวมของผู้เข้ารับการรักษาด้วย เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดการอักเสบได้ และอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อของเหงือกได้ ส่งผลให้ผู้เข้ารับการรรักษาเกิดภาวะเหงือกอักเสบ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะพักฟื้นจากการักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็จะทำให้เกิดอาการบวมแดง และที่สำคัญ เกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุด เพราะแอลกอฮอล์จะส่งผลให้บาดแผลจากการผ่าตัดหายช้า และทำให้เลือดไหลไม่หยุด ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อบาดแผลและรากฟันเทียมเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ในช่วงเวลาการพักฟื้นนั้น ถือเป็นเรื่องต้องห้าม ห้ามทำเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวในการรักษาอีกด้วย

3
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic dermatitis)

ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (ผื่นแพ้จากกรรมพันธุ์ ก็เรียก) เป็นโรคที่พบบ่อยในทารก เด็กโต และคนหนุ่มคนสาว ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเป็นเท่ากัน เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ ทั้งผู้ป่วยและครอบครัวมักจะมีประวัติโรคภูมิแพ้ เช่น หืด หวัดภูมิแพ้ ลมพิษ มักตรวจพบว่าผู้ป่วยมีสารภูมิแพ้ ที่เรียกว่า อิมมูโนโกลบูลินอี (immunoglobulin E) หรือไอจีอี (IgE) ในเลือดสูงกว่าปกติ

อาการผื่นคันส่วนมากจะเกิดขึ้นโดยหาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ บางรายอาจพบว่าแพ้อาหาร นมวัว (ทารกที่กินนมวัว มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าทารกที่กินนมมารดา) ฝุ่นละออง สบู่ ขนสัตว์ อากาศร้อน หรืออากาศหนาว แสงแดด เป็นต้น

นอกจากนี้ การได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นโรคติดเชื้อของผิวหนังหรือทางเดินหายใจ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการได้

ผู้ที่เป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส และเด็กที่เป็นโรคนี้ เมื่อโตขึ้นอาจเป็นโรคหวัดภูมิแพ้หรือโรคหืดตามมา


สาเหตุ

เกิดจากการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์


อาการ

แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะทารก ระยะเด็ก และระยะผู้ใหญ่

ระยะทารก มักจะเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุได้ 2-6 เดือน (เฉลี่ย 4 เดือน) โดยมีอาการผื่นแดง และตุ่มน้ำใสคัน

บางครั้งมีลักษณะเป็นหนังแห้งกว่าปกติ เป็นขุย และเป็นสะเก็ดขึ้นที่จมูก แก้ม หน้าผาก ศีรษะ ซึ่งมักจะขึ้นพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมีลักษณะรอยโรคคล้ายคลึง

บางครั้งอาจลามไปที่ลำตัวตอนบน แขนขา และบริเวณที่สัมผัสผ้าอ้อม

มักจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง อาการมักจะกำเริบขณะฟันจะขึ้น หรือมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ

ส่วนมากจะหายได้เมื่ออายุ 2-4 ปี ในพวกที่ไม่หายก็จะเข้าสู่อาการในระยะเด็ก

ระยะเด็ก จะขึ้นเป็นผื่นแดง อาจมีตุ่มน้ำปน มีอาการคันมาก เมื่อเกาหรือถูมาก ๆ หนังอาจหนาขึ้น มักพบในบริเวณข้อพับ เช่น แขนพับ ข้อมือ ขาพับ ข้อเท้า รอบคอ มักเป็นทั้งสองข้างของร่างกายคล้ายคลึงกัน

บางรายอาจเกาจนน้ำเหลืองเยิ้ม หรือเป็นหนองจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจพบมีต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงมีการอักเสบร่วมด้วย

ระยะผู้ใหญ่ จะมีผื่นคันที่ข้อพับต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่พบในระยะเด็ก อาการมักจะกำเริบเวลามีภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ หรือในระยะก่อนมีประจำเดือน อาการจะน้อยลงเมื่ออายุ 20 กว่าปี และจะค่อย ๆ หายไปเมื่ออายุ 30 ปี

ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีอาการคันมากจนทำให้นอนหลับไม่สนิท หรืออาจเกาจนมีน้ำเหลืองเยิ้ม ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย (กลายเป็นตุ่มหนอง หรือแผลพุพอง) หรือเชื้อรา (กลายเป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนัง เช่น โรคเชื้อราแคนดิดา) หรือเชื้อไวรัส

ถ้าติดเชื้อเริม (ซึ่งเป็นไวรัส) อาจเป็นเริมชนิดรุนแรงได้ เรียกว่า “Eczema herpeticatum”

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจเกาเป็นนิสัย ทำให้ผิวหนังหนาตัว มีสีคล้ำ เรียกว่า “Neurodermatitis” หรือ “Lichen simplex chronicus” ซึ่งบางคนเรียกว่า “โรคเรื้อนกวาง” โดยไม่เกี่ยวกับโรคเรื้อน และไม่เป็นโรคติดต่อแบบโรคเรื้อนแต่อย่างใด

อาจกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสมาธิในการทำงาน หรืออาจรู้สึกอาย ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าเข้าสังคม

เด็กที่เป็นโรคนี้ อาจพบว่าเป็นต้อกระจกตั้งแต่อายุ 20-40 ปี ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากตัวโรคเอง หรือเกิดจากการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ ก็ได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบผื่นแดงและตุ่มน้ำใส ผิวหนังอาจมีลักษณะหนาตัวขึ้น บางครั้งอาจพบมีน้ำเหลืองเยิ้ม

บางราย แพทย์อาจทำการทดสอบทางผิวหนัง โดยวิธี patch test (ใช้น้ำยาที่มีสารต่าง ๆ ปิดที่หลัง แล้วดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ทาด้วยครีมสเตียรอยด์ เช่น ครีมไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์

2. ถ้าคันมากให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ไดเฟนไฮดรามีน หรือไฮดรอกไซซีน

3. หากไม่ได้ผล หรือเป็นรุนแรง แพทย์จะให้กินสเตียรอยด์ (เช่นเพร็ดนิโซโลน) ในช่วงระยะสั้น ๆ (จะไม่ให้ต่อเนื่องนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้)

4. ถ้าเป็นตุ่มหนองหรือพุพอง ควรชะล้างด้วยน้ำเกลือ และให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการผื่นแดงหรือตุ่มคัน ตามผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงอาหารและการสัมผัสถูกสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการ


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการกำเริบใหม่ 
    ผื่นกลายเป็นตุ่มหนอง แผลพุพอง เป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนัง หรือน้ำเหลืองไหล
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    รักษาอุณหภูมิรอบตัวให้พอเหมาะ อย่าให้ร้อนหรือหนาวไป อย่าอาบน้ำร้อน อย่าใส่เสื้อผ้าหนาหรืออบเกินไป
    อย่าอาบน้ำบ่อย ควรอาบน้ำวันละครั้ง นานไม่เกิน 10-15 นาที อาบน้ำอุ่น และใช้สบู่อ่อนถูตัว หลังอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งแล้วใช้ครีม หรือครีมบำรุงผิว หรือปิโตรเลียมเจลลี่ทา
    ใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงผิว หรือปิโตรเลียมเจลลี่ทาให้เกิดความชุ่มชื้น อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
    ควรหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง เช่น ฝุ่น ละอองเกสร สบู่ที่มีฤทธิ์แรง สบู่หอม สบู่ยา เป็นต้น
    งดอาหารที่อาจทำให้แพ้ง่าย (เช่น นม ไข่ อาหารทะเล) รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่แพ้ง่าย (เช่น แอสไพริน เพนิซิลลินวี ซัลฟา)
    เสื้อผ้า ถุงเท้า ควรใช้ผ้าฝ้าย อย่าใช้ขนสัตว์
    ควรตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการเกาด้วยเล็บสกปรก ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนได้
    ควรหลีกเลี่ยงภาวะเครียดทางจิตใจ

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ชาวบ้านอาจเรียกว่า น้ำเหลืองเสีย ความจริงโรคนี้ไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับน้ำเหลืองแต่อย่างใด แต่เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการคันและเกาจนน้ำเหลืองเยิ้ม จึงเรียกชื่อตามอาการที่พบ ทั้งนี้อาจหมายถึงอาการผื่นคันอื่น ๆ เช่น ลมพิษ ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส พุพอง

2. โรคนี้จะหายได้เองเมื่อโตขึ้น ยกเว้นในรายที่มีอาการตั้งแต่เล็ก หรือมีผื่นคันขึ้นทั่วร่างกาย หรือเป็นโรคหืดร่วมด้วย ก็อาจจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ไม่ค่อยหายขาด


4
หมอประจำบ้าน: นิ่วท่อไต (Ureteric stone/Ureteral stone)

นิ่วท่อไต (นิ่วในท่อไต ก็เรียก) เป็นนิ่วขนาดเล็กที่เกิดขึ้นในไตแล้วตกลงมาในท่อไต เป็นเหตุให้ท่อไตเกิดการบีบตัวเพื่อขับนิ่วออก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องรุนแรง เป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในคนทั่วไป

สาเหตุ

นิ่วในท่อไต เป็นนิ่วขนาดเล็กที่เกิดขึ้นในไตแล้วตกลงมาในท่อไต มีสาเหตุของการเกิดนิ่วแบบเดียวกับนิ่วในไต (ดู "โรคนิ่วไต")

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง โดยมีลักษณะปวดบิดเป็นพัก ๆ ตรงบริเวณท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว นานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ

ลักษณะเฉพาะของโรคนี้คือ จะมีอาการปวดร้าวไปที่หลังและต้นขาด้านใน (ปวดไปที่อัณฑะหรือช่องคลอดข้างเดียวกับท้องน้อยที่ปวด) ผู้ป่วยมักจะปวดจนดิ้นไปมา หรือใช้มือกดไว้จะรู้สึกดีขึ้น

บางรายอาจปวดมากจนมีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่นใจหวิว คลื่นไส้ อาเจียน

ผู้ป่วยจะไม่มีอาการขัดเบา ปัสสาวะมักจะใสเช่นปกติ ไม่ขุ่น ไม่แดง (ยกเว้นบางรายอาจมีปัสสาวะขุ่นแดง)
ภาวะแทรกซ้อน

ถ้านิ่วก้อนใหญ่หลุดออกเองไม่ได้ ทิ้งไว้อาจทำให้มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ และไตวายได้
การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายมักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ บางรายอาจพบว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องและหลังมีอาการเกร็งตัว หรือมีอาการกดเจ็บเล็กน้อยตรงบริเวณที่ปวด

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะ (พบว่ามีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ) และอาจทำการตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การใช้กล้องส่องตรวจท่อไต


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ให้ยาบรรเทาปวด ได้แก่ ยาแอนติสปาสโมดิก ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีด
    ในรายที่มีสาเหตุชัดเจน ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยารักษาโรคเกาต์ในรายที่เป็นโรคเกาต์
    แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตว่า เวลาถ่ายปัสสาวะมีก้อนนิ่วหลุดออกมาหรือไม่ และนัดมาดูอาการเป็นระยะ ถ้านิ่วก้อนเล็กอาจหลุดออกมาได้เอง 
    ถ้าก้อนใหญ่ก็จะทำการผ่าตัดเอานิ่วออก หรือใช้เครื่องสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy/ESWL) หรือใช้กล้องส่อง (ureteroscope) สอดใส่ผ่านทางท่อปัสสาวะขึ้นไปตามท่อไต แล้วใช้เครื่องมือในการนำเอานิ่วออกมา หรือทำให้นิ่วแตกละเอียดแล้วหลุดออกมากับปัสสาวะ แพทย์อาจใส่หลอดลวดตาข่าย (stent) ถ่างขยายค้างไว้ในท่อไต เพื่อให้ปัสสาวะไหลออกได้สะดวก

ผลการรักษา เมื่อเอานิ่วออกมาได้ก็จะหายเป็นปกติ แต่บางรายอาจเกิดนิ่วก้อนใหม่ในเวลาต่อมาก็จะให้การรักษาใหม่ ในรายที่เป็นนิ่วท่อไตแล้วปล่อยให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ก็จะมีความยุ่งยากในการรักษาตามมา

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดท้องรุนแรง โดยมีลักษณะปวดบิดเป็นพัก ๆ ตรงบริเวณท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว นานเป็นชั่วโมง ๆ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นนิ่วท่อไต ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

  ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดท้องมากขึ้น มีไข้ หนาวสั่น ปวดที่สีข้าง ปัสสาวะขุ่น คลื่นไส้ อาเจียน
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณวันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) ระวังอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ 

2. หลีกเลี่ยงการกินวิตามินซีขนาดสูงเป็นประจำ และหลังกินวิตามินซีควรดื่มน้ำตามมาก ๆ

3. ลดการกินพืชผักที่มีสารออกซาเลตสูง

4. บริโภคเนื้อสัตว์และอาหารที่มีแคลเซียมให้พอเพียง อย่าให้มากเกิน

5. ถ้าเป็นโรคเกาต์ ควรรักษาอย่างจริงจัง และควบคุมกรดยูริกให้อยู่ในระดับปกติ

ข้อแนะนำ

1. นิ่วท่อไตส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กเท่าหัวไม้ขีด (ขนาดเล็กกว่า 6 มม.) ซึ่งมักจะหลุดออกมาได้เอง ควรบอกให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะลงกระโถน เพื่อสังเกตดูว่ามีก้อนนิ่วออกมาหรือไม่ ส่วนมากมักจะหลุดออกมาภายในไม่กี่วัน

2. อาการปวดท้องจะหายดังปลิดทิ้งเมื่อนิ่วหลุดออกมา แต่ก็อาจเกิดนิ่วก้อนใหม่ในภายหลังได้อีก 

3. เมื่อรักษาหายแล้ว ควรป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำ โดยดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร ดื่มน้ำมะนาววันละ 1 แก้ว (เพิ่มสารซิเทรตในปัสสาวะ ช่วยยับยั้งการเกิดนิ่ว) ลดอาหารที่มีกรดยูริก แคลเซียม และออกซาเลตสูง

5
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์ 

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


6
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


7
Covid 19 ติดทางไหนได้บ้าง ทำไมติดต่อกันได้ง่าย 

ณ ขณะนี้ ฉันไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด-19 และการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถให้ข้อมูลล่าสุดที่ถูกต้องและครบถ้วนได้

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับช่องทางการติดต่อของโรคโควิด-19 และสาเหตุที่ทำให้แพร่ระบาดได้ง่าย มีดังนี้


โควิด-19 ติดต่อกันได้อย่างไร?

โควิด-19 เป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่แพร่กระจายหลักๆ ผ่านช่องทางต่อไปนี้:

ละอองฝอย (Droplets): นี่คือช่องทางหลักของการแพร่เชื้อ เมื่อผู้ติดเชื้อไอ, จาม, พูดคุย, หรือแม้แต่หายใจ จะมีละอองฝอยที่มีไวรัสปนเปื้อนออกมา ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายของผู้อื่นได้ทางจมูก, ปาก, หรือตา หากอยู่ใกล้ในระยะไม่เกิน 1-2 เมตร

ละอองลอยในอากาศ (Aerosols): ในบางสถานการณ์ เช่น ในห้องที่ปิดและมีการระบายอากาศไม่ดี ละอองฝอยที่มีขนาดเล็กมากๆ สามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้นและแพร่กระจายไปได้ไกลกว่า ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้กับผู้ติดเชื้อโดยตรง

การสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อน: แม้จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็สามารถติดเชื้อได้หากไปสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ เช่น ลูกบิดประตู, ราวบันได, หรือโต๊ะ แล้วนำมือมาสัมผัสใบหน้า, ปาก, หรือจมูก


ทำไมโควิด-19 ถึงติดต่อกันได้ง่าย?

แพร่เชื้อได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ: ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ช่วง 1-2 วันก่อนที่อาการจะเริ่มปรากฏ ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดไม่ทันระวังและมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

แพร่เชื้อผ่านการพูดคุยและหายใจ: ต่างจากโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ที่มักต้องไอหรือจาม โควิด-19 สามารถแพร่เชื้อผ่านการพูดคุยหรือแม้แต่การหายใจตามปกติ ซึ่งทำให้การแพร่กระจายเกิดขึ้นได้โดยที่ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัว

การกลายพันธุ์ของไวรัส: การกลายพันธุ์ของไวรัสทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่แพร่กระจายได้ง่ายขึ้นและอาจหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นด้วย

หากคุณต้องการข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 หรือข้อแนะนำในการป้องกันที่อัปเดต ควรติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขหรือองค์กรด้านสุขภาพที่เชื่อถือได้เสมอ

8
ฝากร้านฟรีโพสฟรี / อาการของโรคตับแข็ง (Cirrhosis)
« เมื่อ: วันที่ 17 สิงหาคม 2025, 20:50:01 น. »
อาการของโรคตับแข็ง (Cirrhosis)

ตับแข็ง เป็นโรคตับเรื้อรังที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร จนกลายเป็นเยื่อพังผืด (fibrotic tissue) ที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ ตับไม่อาจทำหน้าที่ได้เป็นปกติ ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่ร่างกายสร้างตามธรรมชาติ (เป็นเหตุทำให้มีอาการฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม นมโตและอัณฑะฝ่อในผู้ชาย) การคั่งของสารบิลิรูบิน (ทำให้ดีซ่าน) การสังเคราะห์สารที่ช่วยห้ามเลือดได้น้อยลง (มีภาวะเลือดออกง่าย) มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำของตับสูง (ทำให้ท้องมาน หรือมีน้ำคั่งในช่องท้อง หลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร ริดสีดวงทวาร) ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ (เช่น ระบบการย่อยและการเผาผลาญอาหาร การแข็งตัวของเลือด การกำจัดยา สารพิษและสารต่างๆ ระบบภูมิคุ้มกันโรค เป็นต้น) 

อาการแรกเริ่มมักเกิดในช่วงอายุระหว่าง 40-60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อยอาจเกิดจากโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดรุนแรง จากการใช้ยาผิด หรือสารเคมีบางชนิด

สาเหตุ

เซลล์ตับถูกทำลาย ซึ่งมีสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ 

    การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี จนกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
    การดื่มแอลกอฮอล์จัดติดต่อกันเป็นเวลานาน (เป็นแรมปี) ยิ่งดื่มมากยิ่งเสี่ยงมาก และผู้หญิงที่ดื่มสุรามีความเสี่ยงที่จะเป็นตับแข็งมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากร่างกายมีการเผาผลาญแอลกอฮอล์แตกต่างกันระหว่างชายกับหญิง ทำให้ผู้หญิงรับพิษจากแอลกอฮอล์มากกว่าผู้ชาย

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver)* การใช้ยาเกินขนาด (เช่น พาราเซตามอล เตตราไซคลีน ไอเอ็นเอช ไรแฟมพิซิน เมโทเทรกเซต AZT) ภาวะขาดอาหาร หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคต่าง ๆ (เช่น ทาลัสซีเมีย ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ภาวะทางเดินน้ำดีอุดกั้น หรือท่อน้ำดีตีบตัน ตับอักเสบเรื้อรังจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง) หรือจากพิษของสารเคมีบางชนิด (เช่น คลอโรฟอร์ม คาร์บอนเตตราคลอไรด์ สารโลหะหนัก)

*พบในผู้ป่วยเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง กลุ่มอาการเมตาบอลิก** คนอ้วน ผู้ที่ขาดอาหาร ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้ยาสเตียรอยด์นาน ๆ

**กลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome หรือเดิมเรียกว่า syndrome X) ประกอบด้วย ภาวะเสี่ยงอย่างน้อย 3 ข้อ จาก 5 ข้อต่อไปนี้

1. ความดันโลหิตช่วงบน ≥ 130 มม.ปรอท และ/หรือความดันโลหิตช่วงล่าง ≥ 85 มม.ปรอท หรือกินยารักษาความดันโลหิตสูงอยู่

2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) ≥ 100 มก./ดล.

3. เส้นรอบเอว ≥ 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ ≥ 80 ซม. ในผู้หญิง

4. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ≥ 150 มก./ดล.

5. ระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด < 40 มก./ดล. ในผู้ชาย หรือ < 50 มก./ดล. ในผู้หญิง

กลุ่มอาการเมตาบอลิก พบได้มากขึ้นตามอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี อาจพบมากถึงร้อยละ 40) และพบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (ดัชนีมวลกาย ≥ 25 กก./ตร.ม. พบได้ประมาณร้อยละ 20 ≥ 30 กก./ตร.ม. พบได้มากกว่าร้อยละ 50)

ผู้ที่มีกลุ่มอาการเมตาบอลิกมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver) ซึ่งอาจกลายเป็นตับอักเสบที่เรียกว่า “Non-aloholic steatohepatitis/NASH” ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้

การรักษา ปรับพฤติกรรมแบบเดียวกับโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ถ้าจำเป็นอาจต้องให้ยาควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่พบ

อาการ

ระยะแรกเริ่ม อาจไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน หรือมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย ต่อมาเป็นแรมปีอาจเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนเป็นบางครั้ง น้ำหนักลด เท้าบวม

อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย ตาเหลือง คันตามผิวหนัง ความรู้สึกทางเพศลดลง

บางรายอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง

ในผู้หญิงอาจมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรือมีเสียงแหบห้าวคล้ายผู้ชาย

ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ (gynecomastia) อัณฑะฝ่อตัว หรือมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)

ในระยะท้ายของโรค (หลังเป็นอยู่หลายปี หรือยังดื่มแอลกอฮอล์จัด) จะมีอาการท้องมาน เท้าบวมหลอดเลือดขอดที่ขา หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง อาจอาเจียนเป็นเลือดสด ๆ เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (esophageal varices) แล้วแตก ซึ่งอาจถึงช็อกและตายได้

ผู้ป่วยมักจะลงเอยด้วยอาการซึม เพ้อ มือสั่น และค่อย ๆ ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งหมดสติ


ภาวะแทรกซ้อน

เกิดภาวะขาดอาหาร น้ำหนักลด ผอมแห้ง เป็นตะคริวง่าย กระดูกพรุนและหักง่าย ภูมิคุ้มกันโรคลดลงทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม วัณโรค เยื่อบุช่องท้องอักเสบ)

ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก เนื่องเพราะตับไม่สามารถสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factors) ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง

ที่ร้ายแรง จะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (esophageal varices) แล้วแตก ซึ่งบางรายอาจรุนแรงถึงช็อกและตายได้

ในผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งระยะรุนแรง อาจมีภาวะไตวายแทรกซ้อน

ในระยะสุดท้ายเมื่อตับทำงานไม่ได้ (ตับวาย) ก็จะเกิดอาการทางสมอง (hepatic encephalopathy) ในที่สุดมีอาการหมดสติ เรียกว่า ภาวะหมดสติจากตับวาย (hepatic coma)

นอกจากนี้ยังพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งเซลล์ตับสูงกว่าคนปกติ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ฝ่ามือแดง มีจุดแดงรูปแมงมุมที่หน้าอก หน้าท้อง จมูก ต้นแขน เท้าบวม ท้องบวม

อาจมีอาการตาเหลืองเล็กน้อยหรือไม่มีก็ได้

อาจมีไข้ต่ำ ๆ ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid gland) โตคล้ายคางทูม หรือมีอาการขนร่วง

ในผู้ชายอาจพบอาการนมโตและเจ็บ

อาจคลำตับได้ มีลักษณะค่อนข้างแข็ง ผิวเรียบ

ถ้าเป็นมาก จะพบว่ารูปร่างผอมแห้ง ซีด ท้องโตมาก หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง มือสั่น ม้ามโต นิ้วปุ้ม มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด (ทดสอบการทำงานของตับและหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี) อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สแกนตับ

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจวัดปริมาณพังผืดในตับ (ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า “Transient elastography” โดยการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์พิเศษ–“Fibroscan”) หรือทำการตรวจชิ้นเนื้อตับ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าเป็นตับแข็งในระยะแรกเริ่ม แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ให้การรักษาตามอาการ และบำรุงร่างกายด้วยอาหาร และวิตามินเกลือแร่เพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะขาดสารอาหาร (เช่น ถ้ามีภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก ก็ให้ยาเม็ดบำรุงโลหิต)
    ข้อสำคัญผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์ต้องงดดื่มโดยเด็ดขาด และหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการใช้ยาที่อาจมีผลกระทบต่อตับ 
    ถ้าพบสาเหตุของตับแข็ง ก็ให้บำบัดแก้ไข เช่น ถ้าเกิดจากการดื่มสุราจัด ก็จะทำการบำบัดให้เลิกสุรา ถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ก็จะให้ยาต้านไวรัส
    ป้องกันการติดเชื้อด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ
    ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน (มีน้ำในท้อง) ก็ให้ยาขับปัสสาวะ งดอาหารเค็ม จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม
    ทำการตรวจกรองมะเร็งตับระยะแรกด้วยการตรวจเลือด (รวมทั้งดูระดับของสารแอลฟาฟีโตโปรตีนในเลือด) และการตรวจอัลตราซาวนด์ ทุก 6 เดือน

2. ถ้ามีโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ) อาการซึม เพ้อ ไม่ค่อยรู้ตัว ไตวาย อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัส (ถ้ามีโรคติดเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัส) ให้เลือด (ถ้าเสียเลือด) ล้างไต (ถ้ามีภาวะไตวาย) และรักษาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ตรวจพบ

ผู้ป่วยอาจต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ จนในที่สุดมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตกเลือด ภาวะตับวาย โรคติดเชื้อ เป็นต้น

3. แพทย์อาจพิจารณาทำการปลูกถ่ายตับในผู้ป่วยตับแข็งบางราย ซึ่งช่วยให้สามารถมีชีวิตยืนยาว


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อ่อนเพลีย ปวดเสียดใต้ชายโครงขวา หรือพบฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นตับแข็ง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

    ห้ามดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันมิให้เซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ถูกทำลายมากขึ้น หากเป็นโรคตับแข็งในระยะแรกเริ่ม ก็จะช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน
    กินอาหารพวกแป้งและของหวาน ผัก ผลไม้สด และอาหารพวกโปรตีนเป็นประจำ ยกเว้นในระยะท้ายของโรค ที่เริ่มมีอาการทางสมองร่วมด้วย จำเป็นต้องลดอาหารพวกโปรตีนลงเหลือวันละ 30 กรัม เพราะอาจสลายตัวเป็นสารแอมโมเนียที่มีผลต่อสมอง
    ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน ควรงดอาหารเค็ม และห้ามดื่มน้ำเกินวันละ 2 ขวดกลมหรือ 6 ถ้วย (1‚500 มล.)
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสมุนไพรด้วยตัวเอง เพราะอาจมีพิษต่อตับมากขึ้น ถ้าจะใช้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
    รักษาร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายตามที่ร่างกายจะอำนวย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียด ไม่สูบบุหรี่ สร้างสุขนิสัยในการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร (เช่น สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในที่ ๆ มีคนแออัด หรือมีการระบาดของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์ เป็นต้น)

2. ติดต่อรักษากับแพทย์ตามนัด อาจต้องตรวจเลือดและอื่น ๆ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของโรคเป็นระยะ ๆ

3. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

    ถ้ามีอาการไข้ ปวดท้องมาก ซึมมาก เพ้อ อ่อนเพลียมาก กินไม่ได้ อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือมีอาการที่ชวนให้รู้สึกวิตกกังวล
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือติดต่อกันนาน ๆ และถ้าตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรงดดื่มโดยเด็ดขาด

2. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบี ตั้งแต่แรกเกิด

3. ระมัดระวังในการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ

4. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดตับแข็ง


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ถ้าเป็นระยะแรกเริ่ม และปฏิบัติตัวได้เหมาะสม จะสามารถมีชีวิตได้นานเกิน 5-10 ปีขึ้นไป แต่ถ้าปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนชัดเจน เช่น ดีซ่าน ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด ก็อาจอยู่ได้ 2-5 ปี (ประมาณ 1 ใน 3 อาจอยู่ได้เกิน 5 ปี)

2. ผู้ป่วยตับแข็งที่ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรตรวจเลือดหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (alphafetoprotein) ทุก 3-6 เดือน เพื่อตรวจกรองหาโรคมะเร็งตับระยะแรกเริ่ม เพราะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูง

9
เด็กที่เข้ารับการจัดฟันเด็ก สามารถใช้น้ำยาบ้วนปากได้หรือไม่

การทำความสะอาดช่องปากและฟัน สำหรับเด็กนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการที่เด็กดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ตั้งแต่ยังมีน้ำน้ำนมนั้น เป็นเรื่องที่ดี เพราะฟันน้ำนม ส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ นั่นหมายความว่า ถ้าเด็กที่สุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ก็จะทำให้ฟันแท้ขึ้นในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ มีรูปร่างฟันที่สวยงาม พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่าน ให้ความสำคัญกับสุขภาพฟันของลูก เพราะคิดว่า การที่ลูกมีฟันที่สวยงาม มีสุขภาพฟันที่ดี ก็จะทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ดังนั้น การที่เราได้พาลูกเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกปี เป็นเรื่องที่สมควรทำ เพื่อปลูกฝังให้ลูกได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน และการที่พาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อทำความสะอาดฟัน ก็เป็นการลดปัญหาที่อาจจะทำให้เกิดฟันผุได้ด้วย


แต่อย่างไรก็ตาม การทีลูกของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้นั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรสอนหรือแนะนำวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ถูกวิธีให้กับเด็ก นอกจากการแปรงฟันที่ถูกวิธีแล้ว การทำความสะอาดด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น การใช้ไหมขัดฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปาก ก็เป็นการทำความสะอาดฟันที่มีประสิทธิภาพมากเช่นเดียวกัน เพราะบางครั้งเด็กอาจจะทำความสะอาดฟันได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งไหมขัดฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้การทำความสะอาดฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ในแง่ของเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะสงสัยว่า ถ้าเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็กจะสามารถใช้น้ำยาบ้วนปากได้หรือไม่ และเด็กควรจะใช้น้ำยาบ้วนปากแบบไหน ซึ่งในปัจจุบัน ตามท้องตลาดมีน้ำยาบ้วนปากจำหน่ายด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกน้ำยาบ้วนปาก สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันก็ควรที่จะเลือกให้เหมาะสมด้วย


วันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงเรื่องของการใช้น้ำยาบ้วนปาก สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ว่าสามารถใช้ได้หรือไม่ และควรที่จะเลือกน้ำยาบ้วนปากแบบใด ให้เหมาะสมกับช่วงอายุและวัยของเด็ก ก่อนอื่นเราจะมาอธิบายการใช้น้ำยาบ้วนปากในเด็กก่อน ซึ่งโดยปกติแล้วน้ำยาบ้วนปาก ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เพราะเด็กอาจจะกลืนเข้าไปและอาจจะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ  เพราะน้ำยาบ้วนปากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูงแต่ ส่วนใหญ่แล้วน้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กมักจะใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์  โดยอาจให้เด็กใช้ในกรณีที่ลูกฝันผุมากๆ หรือเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ที่อาจจะทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง


สรุปก็คือ เด็กที่เข้ารับการจัดฟันเด็ก สามารถใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อทำความสะอาดฟันในส่วนที่เข้าถึงยาก แต่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะระมัดระวัง ควรอ่านข้อควรระวังและคำแนะนำของน้ำยาบ้วนปากให้ชัดเจน ที่สำคัญควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนที่จะให้เด็กใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อความปลอดภัยทั้งในแง่ของสุขภาพช่องปากและฟัน และสุขภาพร่างกายของเด็กด้วย สำหรับการใช้น้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กนั้น ควรใช้ในเด็กที่มีอายุตั้ง 6 ปีขึ้นไป ที่สามารถบ้วนน้ำทิ้งได้ ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุในอนาคต เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้ ควรใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปากก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรเลือกน้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสมกับเด็กด้วย

ทั้งนี้ หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากให้ลูกเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กมาพบทันตแพทย์จัดฟันที่คลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้านการจัดฟันในเด็ก จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ลูกของท่านจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีมาตรฐาน รวมไปถึงมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

10
ข้อดีที่คาดไม่ถึง ของการจัดฟันเด็ก

เด็กหลายคนมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากพฤติกรรมที่ทำในวัยเด็ก อาจส่งผลต่อฟันของ เด็กได้ ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการดูดนิ้ว พฤติกรรมการดูดขวดนม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อรูปร่างของฟันทำให้โตมามีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟันอย่างเห็นได้ชัด พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะคิดว่าฟันน้ำนมของลูกนั้นไม่มีความสำคัญ แต่ความคิดนี้เป็นความคิดที่ผิดเพราะว่าฟันน้ำนมส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ ซึ่งถ้าหากฟันน้ำนมหลุดก่อนวัยอันควรอาจจะทำให้ฟันแท้ที่งอกขึ้นมาแทนที่มีการขึ้นที่ผิดปกติ จะส่งผลทำให้มีรูปร่างและลักษณะฟันที่ผิดปกติตามไปด้วย

ดังนั้น วิธีการเข้ารับการจัดฟันในเด็กถือว่าเป็นทางออกและวิธีแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยพ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุยังน้อยหรืออายุต่ำกว่า 10 ปี ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้แล้ว แต่ช่วงอายุที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 7-10 ปี เพราะในวัยนี้ เด็กสามารถให้ความร่วมมือในการรักษาร่วมกับทันตแพทย์ได้ ทำให้มีความรู้มีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันในระหว่างการจัดฟัน เนื่องจาก เด็กส่วนใหญ่ยังละเลยในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน อาจจะทำความสะอาดฟันไม่ถูกวิธี


ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องคอยให้คำแนะนำและทำให้เด็กมีความ เข้าใจเกี่ยวกับการมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพราะถ้าหากปล่อยไว้จะทำให้เด็กเติบโตมามีปัญหาเกี่ยวกับฟันได้ เพราะฉะนั้น ควรสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็กได้ตระหนักถึงปัญหาของฟันว่า ถ้าหากเรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดี จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้ เช่น บดเคี้ยวอาหารได้ลำบากมากยิ่งขึ้น และอาจจะส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพของเด็กได้ ซึ่งการเข้ารับการจัดฟันเด็กเด็กจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด สำหรับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน


สำหรับวันนี้ทางคลินิก ของเราจะมาพูดถึงข้อดีของการจัดฟันในเด็กที่พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่อาจจะคาดไม่ถึงของ สำหรับข้อดีของการจัดฟันในเด็กนั้นแน่นอนว่าจะทำให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี นอกเหนือจากการที่ทำให้เด็กมีรอยยิ้มที่สดใสสวยงามแล้วยังทำให้มีความมั่นใจและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายด้านเลยทีเดียว เพราะถ้าหากบุตรหลานของท่านมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ก็จะทำให้บุตรหลานของท่านทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ดียิ่งขึ้นและเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ซึ่งต้องบอกว่าในเรื่องของความสะอาดของช่องปากและฟันถือเป็นสุขอนามัยเบื้องต้นที่เด็กจะต้องทำไปตลอดชีวิต ดังนั้น ในการปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก นอกจากนี้หากเด็กมีพฤติกรรมการดูดนิ้วหรือดูดขวดนม ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อการสบฟันในอนาคตได้ ในการจัดฟันแบบใสก็สามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ไปได้ ทั้งนี้ ข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ยังช่วยทำให้เด็กออกเสียงได้ชัดขึ้น สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดียิ่งขึ้นซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของเด็กด้วย ทั้งหมดนี้ก็คือ ข้อดีที่มาพร้อมกับการจัดฟันในเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังคิดไม่ถึงว่าการจัดฟันในเด็กนั้นมีประโยชน์ต่อบุตรหลานของท่านมากเลยทีเดียว

สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก รวมไปถึงด้านทันตกรรมในเด็กในด้านอื่นๆด้วย จากประสบการณ์อย่างยาวนานในวงการทันตกรรมทำให้สามารถให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

11
วัดกิ่งแก้ว ที่เที่ยวสมุทรปราการ พิกัดไหว้พระ เที่ยววัดสวย ใกล้กรุงเทพ

วัดกิ่งแก้วตั้งอยู่ที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นพิกัดยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการไหว้พระทำบุญใกล้กรุงเทพฯ

ประวัติและชื่อวัด

เดิมทีวัดนี้มีชื่อว่า "วัดกิ่งไผ่" สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2428 ต่อมาเมื่อ "หม่อมแก้ว" ได้มาช่วยบูรณะและพัฒนาวัด จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดกิ่งแก้ว" เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน


สิ่งศักดิ์สิทธิ์และจุดเด่น

หลวงปู่เผือก: วัดกิ่งแก้วมีชื่อเสียงอย่างมากจาก หลวงปู่เผือก (พระครูกรุณาวิหารี) ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังและเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป โดยเฉพาะวัตถุมงคล พระผงรุ่นขุดสระ หรือ พระบัวคว่ำบัวหงาย ที่ท่านสร้างขึ้น

พระประธานในอุโบสถ: ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นพระประธาน และมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ

บรรยากาศร่มรื่น: วัดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เงียบสงบและร่มรื่น เหมาะสำหรับการมาปฏิบัติธรรม ทำบุญ และพักผ่อนหย่อนใจ

วัดกิ่งแก้วเปิดให้เข้าชมและทำบุญได้ทุกวัน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับสายบุญและผู้ที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปะท้องถิ่น

12
วัดวรโพธิ์ ที่เที่ยววัดอยุธยา ชมโบราณเก่าแก่ ไหว้องค์พระ วัดสวย

วัดวรโพธิ์ หรือชื่อเดิมว่า "วัดระฆัง" เป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


จุดเด่นที่น่าสนใจ

โบราณสถานเก่าแก่: ภายในวัดประกอบด้วยซากวิหารและเจดีย์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอดีต นอกจากนี้ยังมีซากแท่นพระศรีมหาโพธิ์ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

พระพุทธรูปปางมารวิชัย: เป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานอยู่ในวัด ผู้คนนิยมมากราบไหว้เพื่อขอพรและเป็นสิริมงคล

รอยพระพุทธบาทจำลอง: มีการค้นพบรอยพระพุทธบาทจำลองที่ทำจากหินเนื้อละเอียด สลักลายมงคล 108 ประการ ซึ่งแสดงถึงศิลปะที่งดงามในสมัยอยุธยาตอนกลาง ปัจจุบันได้ย้ายไปประดิษฐานที่ศาลาของวัด

วัดวรโพธิ์ยังคงเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมาศึกษาประวัติศาสตร์และชมความงามของโบราณสถาน โดยตั้งอยู่ใกล้เคียงกับวัดสำคัญอื่นๆ เช่น วัดโลกยสุธาราม และวัดวรเชษฐาราม ทำให้สามารถเดินทางไปเที่ยวชมได้สะดวกในทริปเดียว








13
ทำอาชีพเสริม เสริมรายได้หลักด้วยการขายอาหารไทยขึ้นอยู่กับความถนัดและเงินทุนของคุณ

การขายอาหารไทยสามารถเป็นธุรกิจที่ทำกำไรและเติมเต็มชีวิตได้ ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากแผงขายอาหารเล็กๆ ร้านอาหาร หรือบริการส่งอาหารออนไลน์ อาหารไทยได้รับความนิยมทั่วโลกเนื่องจากมีรสชาติที่เข้มข้น มีกลิ่นหอมของสมุนไพรและรสชาติที่สมดุล หากคุณหลงใหลในการทำอาหารและต้องการเปลี่ยนการทำอาหารให้เป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคง

การสร้างรายได้หลักจากการขายอาหารไทยนั้นมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความถนัดและเงินทุนของคุณ ต่อไปนี้คือแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ได้นี่คือแนวทางที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ

1. เลือกช่องของคุณ
อาหารไทยมีอาหารให้เลือกหลากหลาย การเลือกกลุ่มอาหารเฉพาะจะช่วยให้คุณโดดเด่นในตลาดได้ ลองพิจารณาตัวเลือกเหล่านี้:
แผงขายอาหารริมทาง – ตัวเลือกยอดนิยมได้แก่ ผัดไทย, ส้มตำ และหมูปิ้ง
จัดส่งถึงบ้าน – เตรียมอาหารพร้อมรับประทานหรือชุดอาหารพร้อมส่วนผสมให้ลูกค้าปรุงที่บ้าน
ร้านอาหารเฉพาะทาง – เน้นอาหารไทยโดยเฉพาะ เช่น อาหารเหนือ ใต้ อีสาน
ของหวานและเครื่องดื่ม – ขายขนมไทย เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง หรือ ชาไทย

2. ให้แน่ใจว่าส่วนผสมมีคุณภาพสูง
เคล็ดลับความอร่อยของอาหารไทยคือวัตถุดิบที่สดใหม่และมีคุณภาพ ใช้สมุนไพร เครื่องเทศ และผลผลิตจากท้องถิ่นที่มีคุณภาพสูงเพื่อรักษารสชาติที่ดีที่สุดและดึงดูดลูกค้าประจำ

3. สร้างจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ (USP)
ในการแข่งขันในธุรกิจอาหาร คุณต้องมีจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์:
ความแท้จริง – นำเสนอรสชาติแบบดั้งเดิมด้วยสูตรโฮมเมด
ทางเลือกที่ใส่ใจสุขภาพ – นำเสนออาหารไทยแคลอรี่ต่ำ มังสวิรัติ หรือออร์แกนิก
ความสะดวกสบาย – ขายอาหารแช่แข็งหรือบรรจุหีบห่อล่วงหน้าสำหรับลูกค้าที่ยุ่งวุ่นวาย
แนวคิดแบบผสมผสาน – ทดลองกับรสชาติแบบไทยๆ ในเมนูอาหารสมัยใหม่ เช่น เบอร์เกอร์หรือซูชิโรลที่ได้แรงบันดาลใจจากไทย

4. พัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ
การตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและทำให้ธุรกิจของคุณเติบโต ลองพิจารณากลยุทธ์เหล่านี้:
การปรากฏตัวบนโซเชียลมีเดีย – ใช้แพลตฟอร์มเช่น Facebook, Instagram และ TikTok เพื่อแสดงอาหารจานต่างๆ โปรโมชั่น และบทวิจารณ์ของลูกค้าของคุณ
พันธมิตรในการจัดส่งอาหาร – เข้าร่วมแอปเช่น Grab, Uber Eats หรือ Foodpanda เพื่อขยายการเข้าถึงของคุณ
โปรแกรมความภักดี – เสนอส่วนลดหรือของแถมฟรีให้กับลูกค้าประจำ
ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพล – ร่วมมือกับบล็อกเกอร์อาหารเพื่อโปรโมตแบรนด์ของคุณ

5. รับรองใบอนุญาตและมาตรฐานสุขอนามัยที่เหมาะสม
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสุขภาพในท้องถิ่นและได้รับใบอนุญาตด้านอาหารที่จำเป็น รักษาห้องครัวให้สะอาดและดูแลความปลอดภัยของอาหารเพื่อสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า

6. จัดการต้นทุนและราคาอย่างชาญฉลาด
เพื่อรักษาผลกำไร:
จัดหาวัตถุดิบเป็นจำนวนมากเพื่อลดต้นทุน
กำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้โดยการวิเคราะห์ราคาของคู่แข่ง
ลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างเหมาะสม

7. ขยายธุรกิจของคุณ
เมื่อธุรกิจของคุณเริ่มเติบโตแล้ว ลองพิจารณากลยุทธ์การเติบโตเหล่านี้:
เปิดสาขาหรือรถขายอาหารหลายแห่งเพื่อเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ
ให้บริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่สำหรับงานอีเว้นท์และลูกค้าองค์กร
ขายหลักสูตรสอนทำอาหารไทยออนไลน์หรือในสถานที่จริง

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทยสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้หากดำเนินการด้วยการวางแผนและความทุ่มเทที่ถูกต้อง ด้วยการมุ่งเน้นที่คุณภาพ การตลาด และความพึงพอใจของลูกค้า คุณสามารถเปลี่ยนความรักในการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่ทำกำไรได้และยั่งยืน


14
ทำอาชีพเสริม ขายข้าวผัดไส้อั่วผสมผสานเครื่องเทศหอมกรุ่นกับรสชาติที่จัดจ้านที่คุณต้องลองให้ได้

ข้าวผัดไส้อั่วเป็นอาหารสตรีทฟู้ดยอดนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือเป็นการผสมผสานรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของไส้อั่วเข้ากับข้าวผัด ทำให้ได้รสชาติที่อร่อยลงตัว มีทั้งความหอมของเครื่องเทศในไส้อั่ว ความเค็มเผ็ดเล็กน้อยและความอร่อยของข้าวผัด ข้าวผัดไส้อั่วเป็นอาหารริมทางที่ต้องลองให้ได้ เพราะผสมผสานเครื่องเทศหอมกรุ่นกับรสชาติที่จัดจ้าน

อาหารจานยอดนิยมนี้ซึ่งมีต้นกำเนิดจากภาคเหนือของประเทศไทย ผสมผสานรสชาติของข้าวผัดเข้ากับไส้อั่ว ซึ่งเป็นไส้กรอกภาคเหนือแบบดั้งเดิมของไทย ที่ทำจากหมูสับ สมุนไพร และเครื่องเทศ

ไส้อั่วคืออะไร?
ไส้อั่วเป็นไส้หมูสับปรุงรสด้วยสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม ขมิ้น และพริก จากนั้นจึงนำไส้ที่ผสมแล้วมายัดไส้ด้วยไส้ธรรมชาติแล้วนำไปย่างจนสุกพอดี ทำให้ไส้ด้านนอกกรอบและด้านในชุ่มฉ่ำ ไส้อั่วไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วประเทศด้วยรสชาติที่โดดเด่นและกลิ่นหอม

ข้าวผัดไส้อั่ว : ความลงตัวที่ลงตัว
ข้าวผัดไส้อั่วเป็นการผสมผสานระหว่างข้าวผัดกับไส้กรอกย่างที่หอมกรุ่น ข้าวผัดมักผัดกับผัก ไข่ และเครื่องปรุงต่างๆ โดยใส่ไส้อั่วลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ ไส้กรอกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำเพื่อให้ข้าวมีกลิ่นหอมของเครื่องเทศและสมุนไพร

ข้าวผัดมักเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงสด เช่น ผักชีฝรั่ง ต้นหอม และมะนาวฝานเป็นแว่น เพื่อเพิ่มรสชาติที่สดชื่นให้กับจานนี้ นอกจากนี้ยังสามารถเสิร์ฟซอสถั่วเหลืองหรือผักดองรสเปรี้ยวเพื่อเพิ่มรสชาติได้อีกด้วย

จะหาได้ที่ไหน
ข้าวผัดไส้อั่วมีขายตามแผงขายอาหารริมทางและร้านอาหารท้องถิ่นทั่วประเทศไทย ข้าวผัดไส้อั่วมักเสิร์ฟเป็นอาหารมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นแบบด่วนๆ และด้วยส่วนผสมที่ลงตัวจึงทำให้เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางบ่อยๆ

ทำไมคุณถึงควรลอง
ข้าวผัดไส้อั่วไม่ใช่แค่เพียงอาหาร แต่เป็นประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงรสชาติที่เข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือของประเทศไทย ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนของอาหารข้างทางหรือเพียงแค่ต้องการลองอะไรใหม่ๆ อาหารจานนี้ก็มีรสชาติอันน่ารื่นรมย์ของวัฒนธรรมไทย การผสมผสานของเครื่องเทศ สมุนไพร และไส้กรอกรสเผ็ดทำให้เป็นเมนูที่ลืมไม่ลงสำหรับคนรักอาหารทุกคน

ครั้งหน้าที่คุณไปเดินเล่นตามท้องถนนที่มีชีวิตชีวาของประเทศไทย อย่าลืมแวะร้านค้าท้องถิ่นและเพลิดเพลินกับอาหารริมทางที่อร่อยและน่าพึงพอใจนี้


15
ฝากร้านฟรีโพสฟรี / Doctor At Home: อาเจียนในเด็ก
« เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2025, 16:53:59 น. »
Doctor At Home: อาเจียนในเด็ก

การอาเจียนในเด็กเป็นอาการที่พบได้บ่อยและเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ขับสิ่งแปลกปลอมออกจากกระเพาะอาหาร มักไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ผู้ปกครองควรทราบสาเหตุและวิธีการดูแลที่ถูกต้องเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ


สาเหตุหลักของการอาเจียนในเด็ก

กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ (Stomach Flu): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย มักมีอาการอาเจียนร่วมกับท้องเสียและไข้

อาหารเป็นพิษ: เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังรับประทานอาหาร

กรดไหลย้อน (GERD): พบได้ในเด็กเล็ก ทำให้เด็กแหวะนมหรืออาเจียนบ่อยหลังรับประทานอาหาร

การแพ้อาหารหรือการรับประทานอาหารมากเกินไป: ในเด็กบางรายอาจอาเจียนเนื่องจากแพ้อาหาร หรือทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป


สิ่งที่ควรทำเมื่อลูกอาเจียน

ให้ดื่มน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย: สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกัน ภาวะขาดน้ำ ให้ลูกจิบน้ำเปล่า, เกลือแร่สำหรับเด็ก หรือน้ำซุปใสๆ บ่อยๆ แต่ทีละน้อย

หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง: ในช่วง 12-24 ชั่วโมงแรกหลังอาเจียน ควรให้ลูกงดอาหารแข็งและนมชั่วคราว

พักผ่อนให้เพียงพอ: ให้ลูกได้พักผ่อนมากๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว

ให้รับประทานอาหารอ่อน: เมื่อลูกเริ่มดีขึ้นและไม่อาเจียนแล้ว ให้เริ่มอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือกล้วยบด


เมื่อไหร่ที่ควรพาไปพบแพทย์

มี อาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง, ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6-8 ชั่วโมง, ร้องไห้ไม่มีน้ำตา, ซึม

อาเจียนอย่างรุนแรง หรือ อาเจียนนานเกิน 24 ชั่วโมง .

อาเจียนมี เลือดปน หรือมีสีเขียว

มีไข้สูง หรือมีอาการ ปวดท้องอย่างรุนแรง

มีอาการปวดศีรษะหรือคอแข็ง

หากลูกมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

หน้า: [1] 2 3 ... 67





























































อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
ไม่รู้จะขายอะไรดี

เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี

กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
ทำ SEO ติด Google
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด

โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย