แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 29
1
ชุดปฏิบัติธรรม ชุดแม่ชี เราเป็น โรงงานผลิตโดยตรง
ตัดเย็บปราณีต ทรงสวย เรียบหรู ดูสง่างดงาม
ผลิตจาก ผ้าฝ้ายแท้ 100% เกรดพรีเมียม

ชุดปฏิบัติธรรม ชุดขาวไปวัด ชุดแม่ชี
– ราคาแยกรายชิ้น –
ทอย้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมชั้นดี
พร้อมส่งทุกไซส์
(กรณีสั่งตัดไซส์พิเศษ รอผลิต 7-10 วัน)
จัดส่งฟรี‼ เมื่อลูกค้าโอนชำระ
มีบริการเก็บเงินปลายทาง (+ตัวละ 10.-)

รับตัดชุดขาวไซส์ใหญ่พิเศษ
หมดกังวล หาไซส์ไม่ได้ ทางร้านเป็นโรงงานผลิตโดยตรง
สามารถสั่งตัดชุดได้ตามความต้องการ รอผลิต 7-10 วันทำการ

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ

สัมผัสประสบการณ์ใหม่
จากผ้าฝ้ายแท้ 100%
 นุ่มสบาย ไม่ร้อน ไม่ระคายคือง
ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อผ้า
การตัดเย็บ รวมไปถึงการจัดส่งแบบปกติ
และจัดส่งเร่งด่วน (Kerry EMS Grab)

ชุดขาวปฎิบัติธรรม ชุดขาวหญิง ชุดแม่ชี คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ชุดปฎิบัติธรรมชาย คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด


ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ








2
เด็กที่เข้ารับการจัดฟันเด็ก ควรรับประทานอาหารแบบใด

สุขภาพช่องปากและฟัน สำหรับเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้าเด็กเกิดฟันผุ หรือปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก อาจจะทำให้เด้กรับประทานอาหารได้ลำบากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัญหาฟันบางอย่าง อาจจะส่งผลต่อการรับประทานอาหารอาหาร และการที่เด็กไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ละเอียด แน่นอนว่าจะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเด็กอย่างแน่นอน และยังทำให้เด็กมีอาการเบื่ออาหาร จนทำให้เด็กไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างเพียงพอ จึงเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆได้ ดังนั้น การดูแลเรื่องของฟันในเด็ก จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะเอาใจใส่ดูแล

เพราะเด็ก เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงต้องการอาหารที่ให้สารอาหารและพลังงานสูง  เมื่อเด็กอายุครบ 5 ขวบก็สามารถให้เด็กรับประทานอาหารทั่วไป แต่ห้ามเติมเกลือในอาหารเด็ก สิ่งสำคัญคือเด็กต้องได้รับโปรตีนและแคลเซียมที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ นมและผลิตภัณฑ์จากนมเป็นแหล่งอาหารที่ดีที่ให้ทั้งโปรตีนและแคลเซียมที่จำเป็น ซึ่งสามารถให้พลังงานเพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ซึ่งนอกจากการดูแลเรื่องของโภชนาการของเด็กแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจในเรื่องของการรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กด้วย เพราะอาหารที่เด็กรับประทานเข้าไป ก็มีส่วนช่วยในด้านสุขภาพช่องปากและฟันเช่นเดียวกัน ยิ่งในเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็กนั้น การรับประทานอาหารยิ่งมีความสำคัญ เพราะเด็กจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และไม่ส่งผลต่อการจัดฟันด้วย สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพุดถึงเรื่องของการรับประทานอาหารของเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน

สำหรับอาหารกับคนที่จัดฟัน โดยหลักทั่วไปแล้ว การรับประทานอาหารสำหรับคนจัดฟัน ผู้เข้ารับการจัดฟัน ควรที่จะรับประทานอาหารที่มีความอ่อน ซึ่งทันตแพทย์หลายท่านอาจจะแนะนำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน เลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดี โดยไม่ต้องออกแรงในการเคี้ยวมาก เพ่อที่จะได้ระมัดระวังในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันที่อยู่ภายในช่องปากด้วย ดังนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันทุกคนจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม จะต้องงดการรับประทานอาหารที่เหนียวและแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องมือการจัดฟันหลุดขณะรับประทานอาหาร หรือหากรับประทานอาหารที่มีความแข็งมากๆ จะอาจจะทำให้เครื่องมือการจัดฟันได้รับความกระทบกระเทือน

เพราะผู้ที่เข้ารับการจัดฟันส่วนใหญ่จะมีปัญหาในเรื่องดังกล่าว สังเกตได้จากผู้ที่เข้ารับการจัดฟันหลายคน ส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง หรือรับประทานลูกอม น้ำแข็ง เพื่อเซฟในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน ซึ่งถ้าหากเครื่องมือการจัดฟันเกิดความเสียหาย หรือเครื่องมือชิ้นใดชิ้นหนึ่งหลุดหายไปขณะรับประทานอาหาร ก็จะส่งผลต่อการรักษาโดยตรง ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันควรที่จะรับประทานอาหารที่มีความอ่อนนุ่ม เช่น ข้าวต้ม หรือผลไม้ที่ไม่แข็ง แต่อีกแง่มุมหนึ่งผู้เข้ารับการจัดฟันก็สามารถเลือกรับประทานอาหารได้หลากหลาย

 เพียงแต่ว่าต้องเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปับยหาขณะการจัดฟัน เช่นเดียวกับกับการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะใส่ใจในเรื่องของอาหารการกินเพื่อให้เด็กได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และส่งผลดีต่อการจัดฟัน เพราะฉะนั้น การดูแลเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน ในเรื่องของโภชนาการจึงมีความสำคัญ และยังช่วยให้เป็นการปลูกฝังในเรื่องของการเลือกรับประทานอาหารของเด็กได้อีกด้วย เด็กจะไม่มีพฤติกรรมการรับประทานจุกจิก และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากยิ่งขึ้น จนติดเป็นนิสัย นอกจากจะช่วยให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันในเด็กแล้ว ยังช่วยให้เด็กมีสุขภาพร่างกานที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและได้รับสารอาหารที่มีแต่ประโยชน์ด้วย

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก และยังมีระสบการณ์ด้านทันตกรรมเด็กมาอย่างยาวนาน พร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาสำหรับเด้กที่อยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเราอยากเด็กมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

3
การจัดฟันเด็ก เป็นประโยชน์ต่อขากรรไกรของเด็กอย่างไร

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน สำหรับเด็กนั้น เป็นเรื่องของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ พ่อแม่ควรปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการแปรงฟันอย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็กด้วย เพราะพฤติกรรมของเด็กนั้น ล้วนแต่ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟัน รวมไปถึงขากรรไกรของเด็ก ซึ่งเป็นรากฐานของฟันที่จะขึ้นมาในอนาคต เพราะเด็กบางคนอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับขากรรไกร

ซึ่งก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพันธุกรรม หรือพฤติกรรมในวัยเด็ก ซึ่งการจัดฟันในเด็ ก็สามารถแก้ไขในเรื่องดังกล่าวได้ บางกรณีเด็กอาจจะมีฟันสบไขว้ อาจทำให้ขากรรไกรเจริญเติบโตไม่สมดุลกัน และมีปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรีบแก้ไข เพราะการบดเคี้ยวอาหารไม่สะดวก อาจจะส่งผลต่อร่างกายของเด็กได้ สำหรับวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ที่เป็นประโยชน์ต่อขากรรไกรของเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอจจะยังไม่ทราบว่า การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถส่งเสริมให้เด็กมีขากรรไกรที่สมดุลกัน และเป็นประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ทำให้ใบหน้าอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมด้วย

เราต้องอธิบายก่อนว่า การจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการใช้ประโยชน์จากขากรรไกรของเด็กที่กำลังอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโต นอกจากนี้ ยังอาจจะสามารถแก้ไขส่วนโค้งของแนวฟันและขากรรไกรที่อยู่ในตำแหน่งไม่เหมาะสมได้อีกด้วย สำหรับการจัดฟันในเด็ก เป็นการแก้ไขปัญหาฟันให้บุตรหลานของท่านมีฟันที่สวยงาม ส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน และการจัดฟันในเด็ก ยังสามารถแก้ไขได้เมื่อปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากทันตแพทย์ตรวจพบปัญหาฟันแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถแก้ไขได้ทันที โดยปัญหาฟันบางอย่างอาจเกิดจากการเจริญเติบโตของขากรรไกรที่ผิดปกติ อุปนิสัยการกิน การกลืน และการใช้ฟันผิดหน้าที่ของเด็ก ทันตแพทย์จะสามารถแก้ไขปัญหาฟัน

ทั้งนี้หากปล่อยให้ปัญหาดังกล่าว ดำเนินต่อไป จนเด็กคนนั้นโตขึ้น การแก้ไขปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ เหมือนตอนเด็กๆ อาจต้องมีการผ่าตัด หรือแก้ไขปัญหาข้อต่อขากรรไกรที่เสื่อมสภาพลงด้วย ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก จึงมีประโยชน์ต่อขากรรไกรของเด็กอย่างมากมายเลยทีเดียว นี่คืออีกหนึ่สาเหตุที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อตรวจความผิดปกติ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานๆ อาจจะทำให้ปัญหาลุกลามไปจนถึงขั้นสร้างความเสียหายแก่ฟันบริเวณอื่นๆได้ การแก้ไขปัญหาในเด็ก จะช่วยให้เด็กจะมีการเจริญเติบโตที่เป็นปกติได้ ทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี เสริมสร้างพัฒนาการในเด็กได้อย่างดี

 ทำให้เด็กได้เรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันมาเป้นอุปสรรค ในทางตรงข้าม ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองปล่อยปัญหาฟันของเด็กนานว้ การแก้ไขจะทำได้ยากมากยิ่งขึ้น และอาจจะสร้างความเสียหายต่อร่างกายเด็กได้ โดยเฉพาะขากรรไกร ถ้าหากเด็กมีขากรรไกรล่างที่เล็ก อาจมีผลให้ถอยหลังไปกดปิดการหายใจของเด็กทำให้หายใจไม่สะดวกได้ ส่งผลทำให้เด็กมีมีปัญหาต่อระบบการเติบโตของร่างกาย ลักษณะฟันยื่น ฟันเหยิน ก็ทำให้โดนเพื่อนล้อจนทำให้เสียความมั่นใจได้

 หากใครสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันทุกรูปแบบ รวมไปถึงมีประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่แข็งแรง มีโครงสร้างของใบหน้าที่ปกติ ทำให้เด็กมีความมั่นใจ และมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น เพราะทางเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก อยากให้เด็กได้มีฟันที่แข็งแรง เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



5
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก/เบลล์พัลซี (Bell's palsy/Idiopathic facial paralysis)

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก,อัมพาตเบลล์,เบลล์พัลซี,อัมพาตใบหน้าครึ่งซีก,อัมพาตหน้าครึ่งซีก,โรคกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก,bell's palsy,Idiopathic facial paralysis

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกหรือเบลล์พัลซี (โรคกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก, อัมพาตใบหน้าครึ่งซีก, อัมพาตเบลล์ ก็เรียก) หมายถึง โรคที่แสดงอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าเพียงซีกใดซีกหนึ่ง* ซึ่งเกิดจากเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 (เส้นประสาทใบหน้า) เกิดการอักเสบ บวม โดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ซึ่งมักมีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และทุเลาได้ภายใน 2-3 สัปดาห์

พบได้ประมาณ 20-30 รายต่อประชากร 100,000 คนต่อปี พบได้ในคนทุกวัย พบได้บ่อยในกลุ่มอายุ 15-45 ปี

หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 3 เท่า และมักพบในระยะไตรมาสที่ 3 และระยะ 1 สัปดาห์หลังคลอด

นอกจากนี้ยังพบในผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคภูมิต้านตนเอง (โรคออโตอิมมูน) ผู้ติดเชื้อเอชไอวี การติดเชื้อของทางเดินหายใจ (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่) ผู้ที่มีภาวะอ้วน และผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ

*อาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง (facial palsy/paralysis) มักเกิดเพียงซีกใดซีกหนึ่ง ส่วนใหญ่เกิดจากโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy) นอกจากนั้นอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้หลายประการ เช่น การบาดเจ็บหรือผ่าตัดที่บริเวณใบหน้า โรคงูสวัดที่บริเวณใบหน้า โรคเรื้อน เนื้องอกบริเวณหู ใบหน้า หรือประสาทหู โรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก เป็นต้น ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของประสาทสมองเส้นที่ 7 ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงซีกหนึ่ง

สาเหตุ

เกิดจากเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 หรือเส้นประสาทใบหน้า (facial nerve) ที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ทำงานชั่วคราวโดยไม่ทราบสาเหตุเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักเกิดกับเส้นประสาทใบหน้าเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าข้างนั้นมีอาการอ่อนแรงไปชั่วระยะหนึ่ง

บางรายอาจพบว่ามีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสเริมชนิด 1 (HSV-1) และเชื้อไวรัสงูสวัด (herpes zoster virus) ทำให้ประสาทสมองเส้นที่ 7 อักเสบ เกิดอาการอัมพาตของใบหน้า โดยอาจไม่พบผื่นตุ่มของโรคเริมหรืองูสวัดขึ้นที่ผิวหนังร่วมด้วย

บางรายอาจมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัด (ไวรัสอะดีโน) เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ คางทูม หัดเยอรมัน โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นต้น


อาการ

อาการมักเกิดขึ้นฉับพลัน โดยผู้ป่วยอยู่ดี ๆ (เช่น นอนตื่นขึ้นมา) ก็สังเกตเห็นปากเบี้ยวข้างหนึ่ง กลืนน้ำหรือบ้วนปากจะมีน้ำไหลออกที่มุมปาก เวลายิงฟันหรือยิ้มกว้าง จะเห็นมุมปากข้างนั้นตก (เนื่องจากขยับไม่ได้แบบอีกข้างที่ปกติ) ตาข้างเดียวกันนั้นจะปิดไม่มิด คิ้วข้างเดียวกันนั้นยักไม่ได้ ลิ้นซีกเดียวกันจะชาและรับรสไม่ได้ หูข้างเดียวกันอาจมีอาการปวดและอื้อ ประสาทหูข้างนั้นไวต่อเสียง (ได้ยินเสียงดังกว่าปกติ) ตาข้างนั้นมีน้ำตาออกน้อย มีอาการตาแห้ง (เนื่องจากต่อมน้ำตาข้างนั้นทำงานได้ไม่ปกติ) หรือปากมีน้ำลายออกน้อย (เนื่องจากต่อมน้ำลายข้างนั้นทำงานได้ไม่ปกติ)

บางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ, เคืองตา, พูดไม่ชัด, ดื่มน้ำหรือเคี้ยวอาหารค่อนข้างลำบาก

แต่ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวดี แขนขามีแรงดีและทำงานได้ตามปกติทุกอย่าง และถ้าอยู่เฉย ๆ (ไม่พูด ไม่ยิ้ม ไม่หลับตา หรือยักคิ้ว) ก็จะดูไม่ออกว่าผู้ป่วยมีความผิดปกติ

บางรายอาจมีอาการปวดบริเวณหน้า ขากรรไกร หรือหลังใบหูข้างที่เป็นอัมพาต ซึ่งอาจเริ่มตั้งแต่ก่อนมีอาการอัมพาตปากเบี้ยว 2-3 วัน

บางรายอาจมีอาการกำเริบเมื่อร่างกายมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำเนื่องมาจากความเครียด นอนหลับพักผ่อนไม่พอ ร่างกายไม่สบายหรือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย บางรายมีอาการคล้ายไข้หวัดนำมาก่อนมีอาการอัมพาตของใบหน้าประมาณ 1 สัปดาห์

ส่วนใหญ่อาการอัมพาตของใบหน้าเกิดเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น มีน้อยรายมากที่อาจเกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ เช่น ภาวะขาดน้ำ (เนื่องจากดื่มน้ำได้ลำบาก)

ตาข้างที่ปิดไม่มิดอาจเกิดสายพิการ (ตาบอด ตามัว) แทรกซ้อน เนื่องเพราะมีอาการตาแห้ง และมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หรือผู้ป่วยเผลอใช้นิ้วมือถูหรือขยี้ตา ทำให้กระจกตาอักเสบเป็นแผล

บางรายอาจมีการงอกผิดปกติของเส้นประสาทใบหน้า ทำให้ใบหน้าเกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ (facial synkinesis) เช่น หนังตาปิดเวลายิ้ม คอเกร็งเวลายิ้มหรือผิวปาก ปากกระตุกเวลาหลับตา น้ำตาไหลเวลาเคี้ยวอาหาร กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็ง (ทำให้ปวดหน้าและศีรษะ) เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการรุนแรงและได้รับการรักษาล่าช้าไป อาจมีอาการหน้าเบี้ยวอย่างถาวร


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ได้แก่ มุมปากตก ตาปิดไม่มิด และยักคิ้วไม่ได้ เพียงข้างเดียว

หากจำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุที่เกี่ยวข้อง หรือต้องการแยกจากสาเหตุอื่น (เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง) จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด (เช่น ตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ตรวจดูโรคติดเชื้อต่าง ๆ เป็นต้น) การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจคลื่นไฟฟ้าประสาท (electroneurography) การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (electromyography/EMG) การตรวจหาเชื้อไวรัสเริมและงูสวัด เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

1. หากตรวจพบว่ามีอาการแขนขาซีกใดซีกหนึ่งมีอาการชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย และตรวจพบว่าเป็นสโตรก (โรคลมอัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

2. หากตรวจพบว่าเป็นโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก แพทย์จะทำการประเมินสาเหตุและความรุนแรง และให้การรักษา ดังนี้

    แพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์ (เช่น ยาเม็ดเพร็ดนิโซโลน) เพื่อลดการอักเสบและการบวมของเส้นประสาทใบหน้าที่ผิดปกติ ช่วยให้อาการทุเลาได้เร็วขึ้น ซึ่งควรให้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการจะได้ผลดี ยานี้ต้องให้แพทย์สั่งใช้เท่านั้น เพราะมีวิธีใช้และข้อควรระวังมาก หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง อาจมีผลข้างเคียงร้ายแรงได้
    ในรายที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสเริมหรืองูสวัด แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส (เช่น อะไซโคลเวียร์) ร่วมด้วย ซึ่งควรให้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการเช่นกัน
    ป้องกันภาวะแทรกซ้อนของตาข้างที่มีอาการปิดไม่มิด โดยให้ผู้ป่วยใช้น้ำตาเทียมหยอดตา ป้องกันไม่ให้ตาแห้ง (หยอดทุก 1-2 ชั่วโมง ระหว่างทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ), ใช้ยาหยอดตาปฏิชีวนะหยอดตาในเวลากลางวันทุก 2-4 ชั่วโมง และใช้ยาป้ายตาปฏิชีวนะป้ายก่อนนอน เพื่อป้องกันไม่ให้กระจกตาอักเสบเป็นแผล, ควรสวมแว่นตา หรือใช้ฝาครอบตา (eye shield) เพื่อป้องกันฝุ่นหรือแมลงเข้าตา
    ให้ยาบรรเทาปวด (เช่น พาราเซตามอล) ถ้ามีอาการปวดบริเวณใบหน้า
    บางรายแพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาทางกายภาพบำบัด เช่น การกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าด้วยการสัมผัส (tactile stimulation), การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าด้วยไฟฟ้า (electrical stimulation), การออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้าและการฝึกการแสดงสีหน้า, การประคบด้วยความร้อน ประมาณ 15-20 นาที (เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณเส้นประสาทที่ผิดปกติ ให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักจะมีอาการแย่มากขึ้นใน 2-3 วันต่อมาจากวันแรกที่มีอาการ แล้วจะค่อย ๆ ฟื้นตัว จนอาการทุเลาใน 2-3 สัปดาห์ และหายได้สนิทใน 2-6 เดือน

ประมาณร้อยละ 10 อาจมีอาการหน้าเบี้ยวอย่างถาวร ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีลักษณะของการเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าอย่างเต็มที่ อาการไม่ดีขึ้นใน 3 สัปดาห์ อายุมากกว่า 60 ปี มีอาการปวดรุนแรง พบในผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือหญิงตั้งครรภ์ หรือทดสอบพบว่ามีความเสื่อมของเส้นประสาทใบหน้าอย่างรุนแรง

ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วยที่หายดีแล้ว อาจมีอาการกำเริบซ้ำในเวลานับเป็นปี ๆ ต่อมา (อาจเป็นที่ข้างเดิมหรือข้างตรงกันข้ามก็ได้) หากพบก็ควรตรวจให้แน่ชัดเสียก่อนว่าไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น


การดูแลตนเอง

หากมีอาการอยู่ ๆ มีอาการปากเบี้ยวข้างหนึ่ง กลืนน้ำหรือบ้วนปากมีน้ำไหลออกที่มุมปาก หากมีอาการแขนขาซีกหนึ่งชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย หรือสงสัยว่าเป็นสโตรก (โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน) ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

ถ้าแขนขาแข็งแรงเป็นปกติดี พบว่าเวลายิ้มกว้างเห็นมุมปากข้างนั้นตก ร่วมกับตาข้างเดียวกันนั้นปิดไม่มิด และคิ้วข้างเดียวกันนั้นยักไม่ได้ และมั่นใจว่าไม่ได้เป็นสโตรก ควรปรึกษาแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (เบลล์พัลซี) นอกจากติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องแล้ว ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    กินยา ปฏิบัติตัว และดูแลรักษาตาข้างที่ปิดไม่มิดไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน (ด้วยการใช้น้ำตาเทียม ยาหยอดตาและยาป้ายตาปฏิชีวนะ และใช้อุปกรณ์ป้องกันตา) ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าตามที่นักกายภาพบำบัดแนะนำ
    ประคบน้ำอุ่น โดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นหมาด ๆ ประคบใบหน้า นานครั้งละ 15-20 นาที วันละ 1-2 ครั้ง
    นวดและบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า วันละ 1-2 ครั้ง โดยใช้ปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลางนวดใบหน้าเบา ๆ วนจากหน้าผากผ่านแก้มลงมาที่คาง ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นทำการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าที่หน้ากระจก โดยทำท่าทางยักคิ้ว ขมวดคิ้ว หลับตาปี๋ ย่นจูมก ทำแก้มป่อง (พยายามไม่ให้ลมลอดออกมา) ไม่ทำปากจู๋ ยิ้มไม่เห็นฟัน ท่าละ 20-30 ครั้ง
    กินอาหารที่ย่อยง่าย (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ผักต้มเปื่อย หมูหยอง เนื้อปลานุ่ม ๆ ที่เอาก้างออก เป็นต้น) และเคี้ยวอาหารช้า ๆ ให้ละเอียด
    จิบน้ำ นม น้ำผลไม้ เครื่องดื่ม ทีละน้อยบ่อย ๆ ป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
    ทำความสะอาดช่องปาก อย่าให้มีเศษอาหารค้างในช่องปาก ทำการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟันหลังกินอาหารทุกครั้ง

ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีภาวะขาดน้ำ (เนื่องจากดื่มน้ำไม่ได้) หรือกินอาหารไม่ได้
    มีอาการเจ็บตา ตาแดง หรือตามัว
    หลังดูแลรักษานาน 3 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น
    มีอาการสงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล

ควรผ่อนคลายความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้

ควรหาทางป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจัง


ข้อแนะนำ

1. โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (เบลล์พัลซี) จำเป็นต้องแยกออกจากโรคสโตรก (โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน) ให้ชัดเจน เนื่องจากทั้ง 2 โรคนี้มีอาการปากเบี้ยวอย่างฉับพลันเหมือนกัน เนื่องจากมุมปากข้างหนึ่งอ่อนแรงไม่ขยับ เห็นชัดเวลายิ้มกว้าง

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก เกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทใบหน้าที่อยู่นอกกะโหลกศีรษะ จึงมีอาการผิดปกติเฉพาะที่ใบหน้าเท่านั้น แขนขาจะแข็งแรง สามารถเดินเหินและทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้เป็นปกติ เนื่องจากไม่มีความผิดปกติในสมองแต่อย่างใด

ส่วนโรคสโตรกมีความผิดปกติเกิดขึ้นในสมอง (ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบตัน) จึงทำให้มีอาการอ่อนแรงของใบหน้าและแขนขา เช่น มุมปากตก (ปากเบี้ยว) พูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก แขนขาชาหรืออ่อนแรงข้างหนึ่ง เป็นต้น โรคนี้จัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลทันที และรับยาละลายลิ่มเลือด (ที่อุดตันในสมอง) ให้ได้ภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง (270 นาที) นับแต่เริ่มมีอาการเกิดขึ้น จึงจะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะรุนแรงได้ (ดูเรื่อง "โรคหลอดเลือดสมอง" เพิ่มเติม)

ข้อแตกต่างที่สำคัญ คือ โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก นอกจากไม่มีอาการทางสมองดังที่พบในโรคสโตรกแล้ว อาการที่ใบหน้ายังมีลักษณะที่แตกต่างกัน กล่าวคือ โรคสโตรกจะมีอาการอ่อนแรงเฉพาะที่ส่วนล่างของหน้า คือ ปากเบี้ยว (มุมปากตกข้างหนึ่ง) เพียงอย่างเดียว ส่วนบนของใบหน้ายังเป็นปกติ คือยักคิ้ว และปิดตาได้ทั้ง 2 ข้าง ส่วนโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกจะมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าทั้งส่วนบนและส่วนล่าง จึงมีอาการปากเบี้ยว (มุมปากตกข้างหนึ่ง) ร่วมกับอาการคิ้วข้างเดียวกันนั้นยักขึ้นไม่ได้ และตาข้างเดียวกันนั้นปิดไม่ได้สนิท

2. โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกพบได้บ่อยในคนทุกวัยทุกเพศ ถึงแม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรงและหายได้เป็นปกติเป็นส่วนใหญ่ แต่จำเป็นต้องไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการรักษาด้วยยาลดการอักเสบและการบวมของเส้นประสาทใบหน้าที่ผิดปกติ (รวมทั้งอาจต้องให้ยาต้านไวรัสในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสบางชนิด) ให้ได้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ ซึ่งจะช่วยให้ได้ผลดี

ส่วนน้อยอาจมีอาการหน้าเบี้ยวอย่างถาวร หรือมีอาการที่เกิดจากการงอกผิดปกติของเส้นประสาทใบหน้า (facial synkinesis) แทรกซ้อน แพทย์อาจทำการแก้ไขด้วยการฉีดสารโบทูลินัม (botulinum toxin) หรือโบท็อกซ์ (Botox) หรือบางรายอาจทำการแก้ไขด้วยการผ่าตัด

3. โรคนี้จะค่อย ๆ ทุเลาจนดีขึ้นชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์ โดยกล้ามเนื้อใบหน้าตอนบนจะเริ่มฟื้นตัวได้ก่อนตอนล่าง กล่าวคือ ผู้ป่วยจะยักคิ้วและปิดตาได้ก่อนที่จะหายปากเบี้ยว ดังนั้น ผู้ป่วยควรเฝ้าสังเกต โดยยักคิ้วและหลับตาทุกวัน ถ้าพบว่าเริ่มทำได้ก็แสดงว่ามีโอกาสหายได้เร็ว

4. การรักษาหลัก ๆ คือวิธีที่กล่าวไว้ในหัวข้อ "การรักษาโดยแพทย์" ส่วนวิธีรักษาอื่น ๆ เช่น การฝังเข็ม (กระตุ้นเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยให้อาการทุเลาลง), การฝึกควบคุมร่างกายด้วย "เทคนิคไบโอฟีดแบก (Biofeedback ซึ่งช่วยให้ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าได้ดีขึ้น) ควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาถึงความจำเป็น และเลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย

5. อาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หากมีผื่นงูสวัดปรากฏในบริเวณรอบ ๆ หูข้างเดียวกับใบหน้าซีกนั้น มักเกิดจากการติดเชื้องูสวัด ทำให้มีการอักเสบของประสาทใบหน้าและประสาทหู นอกจากอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกแล้ว ยังมีอาการปวดหู มีเสียงดังในหู วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ หูอื้อ หูตึง ตากระตุก เรียกว่า "กลุ่มอาการแรมเซย์ฮันต์ (Ramsay-Hunt syndrome)" แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส (เช่น อะไซโคลเวียร์) และยาเม็ดเพร็ดนิโซโลน เพื่อลดการอักเสบและความรุนแรงของโรค

6
ฝากร้านฟรีโพสฟรี / Doctor At Home: ส่าไข้ (Roseola Infantum/Roseola/Exanthema Subitum/Sixth Disease
« เมื่อ: วันที่ 20 พฤศจิกายน 2024, 13:13:59 น. »
Doctor At Home: ส่าไข้ (Roseola Infantum/Roseola/Exanthema Subitum/Sixth Disease)

ส่าไข้ (Roseola Infantum/Roseola/Exanthema Subitum/Sixth Disease) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเดียวกับโรคเริม ทำให้เกิดผื่นแดงกระจายทั่วตัวและมีไข้ขึ้นสูง โดยพบในทารกและเด็กเล็กมากกว่าวัยอื่น ทางการแพทย์อาจเรียกโรคนี้ได้อีกหลายชื่อ เช่น ไข้ผื่นกุหลาบ หัดกุหลาบ หัดเทียม 


อาการส่าไข้

ระยะฟักตัวของเชื้อจะอยู่ในช่วง 5-15 วัน และจะแสดงอาการออกมาภายใน 1-2 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ อาการของโรคไม่ค่อยรุนแรงและมักจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ สังเกตอาการได้จาก

    ไข้ขึ้นสูงอย่างรวดเร็วเกือบ 40 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า และลดลงภายในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาหรืออาจมีไข้อยู่ประมาณ 3-5 วัน บางรายมีอาการอื่น ๆ ร่วมกับไข้ขึ้นหรือเป็นนำมาก่อน เช่น น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอบวม
    หลังไข้ลดลงมักจะเกิดผื่นขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตร บริเวณหน้าอก หลัง ท้อง และคอ หรืออาจลามไปที่ใบหน้า แขน และขา โดยผื่นที่พบจะเป็นจุดเล็ก ๆ หรือเป็นปื้นสีแดงออกชมพู มีลักษณะค่อนข้างแบน ไม่ค่อยมีอาการคันหรือเจ็บ ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นและหายได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึง 1-2 วัน
    บางรายอาจพบเฉพาะอาการไข้ขึ้นโดยไม่มีผื่นตามมา
    หงุดหงิดง่าย
    ท้องเสีย
    ไม่อยากอาหาร
    เปลือกตาบวม

เมื่อมีไข้ขึ้นสูงอย่างรวดเร็วอาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการชักและอาการของโรคยังมีความคล้ายคลึงกับไข้ออกผื่นชนิดอื่น จึงควรหมั่นสังเกตอาการและไปพบแพทย์เมื่อผู้ป่วยมีไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ไข้ขึ้นนานเป็นสัปดาห์ หรือเกิดผื่นนานกว่า 3 วัน นอกจากนี้ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอแล้วไปสัมผัสผู้ที่มีเชื้อควรพบแพทย์ เพื่อตรวจหาการติดเชื้อและป้องกันอาการของโรค ซึ่งมักจะรุนแรงมากกว่าในเด็กทั่วไป

สาเหตุส่าไข้

ส่าไข้เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสในกลุ่มโรคเริมที่ชื่อว่า Human Herpesvirus 6: HHV-6 และอาจเกิดจากเชื้อไวรัส Human Herpes Virus 7: HHV-7 ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านทางการไอ จาม สัมผัสโดนสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจอย่างน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วยเมื่ออยู่ใกล้กัน โดยการแพร่กระจายของเชื้อจะเกิดขึ้นในช่วงที่ผู้ป่วยยังไม่แสดงอาการหรือเป็นไข้ แต่เมื่อเกิดผื่นหรือมีอาการอื่น ๆ ของโรคจะไม่ติดต่อไปสู่ผู้อื่น ระยะฟักตัวของโรคจนกระทั่งผู้ป่วยแสดงอาการจะอยู่ในช่วง 9-10 วัน

แม้ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่มเดียวกับโรคเริม  แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ จากไวรัสกลุ่มนี้ตามมา เช่น โรคเริม โรคอีสุกอีใส หรือโรคงูสวัด สำหรับกลุ่มเสี่ยงของโรคจะเป็นทารกและเด็กเล็กอายุระหว่าง 6 เดือน-3 ปี มากกว่าวัยอื่น ซึ่งผู้ป่วยประมาณ 95% เป็นเด็กอายุไม่เกิน 2 ปี

การวินิจฉัยส่าไข้

แพทย์จะวินิจฉัย โรคจากการสอบถามอาการ ประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย และการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเป็นหลัก เพื่อแยกโรคนี้ออกจากโรคหรือสาเหตุอื่นที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น เมื่อมีไข้ขึ้น มีน้ำมูก ไอ แพทย์จำเป็นต้องแยกโรคนี้ออกจากโรคไข้หวัด

ในผู้ที่มีอาการชัดเจน แพทย์จะวินิจฉัยจากการสอบถามประวัติและการตรวจร่างกาย แต่บางรายที่บอกไม่ได้ชัดเจนอาจรอให้เกิดผื่นขึ้นตามอาการของโรค โดยแพทย์จะอธิบายลักษณะของผื่น เพื่อให้สังเกตได้ง่ายในระหว่างการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจพิจารณาตรวจเลือดในผู้ที่มีอาการไม่ชัดเจน เพื่อแยกจากโรคอื่น ๆ หรือช่วยยืนยันผลการติดเชื้อ โดยการตรวจจะแบ่งออกเป็น 2 วิธี ได้แก่ การตรวจสารพันธุกรรมด้วยวิธีพีซีอาร์ (Polymerase Chain Reaction: PCR) และการตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยา (Serology)   

การรักษาส่าไข้

ส่าไข้ไม่มีรูปแบบการรักษาที่เฉพาะเจาะจง ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ ผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่จะเป็นการดูแลแบบประคับประคองไปตามอาการด้วยการบรรเทาอาการตามคำแนะนำ ดังนี้

    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ผู้ป่วยที่อยู่ในวัยทารกหรือเด็กที่ยังรับประทานนม มารดาควรพยายามให้นมอย่างสม่ำเสมอ
    ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
    รับประทานยาลดไข้เมื่อไข้ขึ้นสูงจนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) แต่ควรอ่านฉลากยาก่อนทุกครั้ง เพื่อรับประทานยาในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ ไม่ควรใช้ยาพาราเซตามอลและยาไอบูโพรเฟนพร้อมกัน ให้รับประทานทีละชนิด และผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ไม่ควรรับประทานยาแอสไพริน (Aspirin) ยกเว้นแพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันโรคกลุ่มอาการราย (Reye's Syndrome) จากการแพ้ยาแอสไพริน
    หากรับประทานยาแล้วยังคงมีไข้ ควรเช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ

อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นรุนแรงมากกว่าเดิมแม้ว่ามีการบรรเทาอาการเบื้องต้น เช่น มีไข้สูง มีอาการขาดน้ำ มีไข้ชัก หรือซึมลง บุคคลใกล้ชิดควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ สำหรับผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาแกนไซโคลเวียร์ (Ganciclovir) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส เพื่อช่วยบรรเทาอาการ     

ภาวะแทรกซ้อนของส่าไข้

ผู้ป่วยอาจมีโอกาสเกิดโรคไข้ชัก (Febrile Seizure/Febrile Convulsion) หรืออาการชักจากไข้ขึ้นสูงได้บ่อย โดยพบได้ประมาณ 5-15% ของผู้ป่วยทั้งหมดที่เป็นเด็ก และอาจมีอาการอื่น ๆ นำมาก่อนชัก เช่น ความรู้สึกตัวลดลง เกิดการกระตุกที่แขน ขา หรือใบหน้านาน 2-3 นาที ฉุนเฉียวง่าย แต่อาการชักจากส่าไข้มักไม่อันตรายและเป็นในระยะสั้น ๆ

นอกจากนี้ ยังพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น โรคสมองอักเสบ ไวรัสตับอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ การติดเชื้อที่หู ซึ่งบางสภาวะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต รวมไปถึงบางรายอาจเสี่ยงต่อภาวะ Haemophagocytic Syndrome และการติดเชื้อโมโนนิวคลีโอสิส (Infectious Mononucleosis) ที่มีความรุนแรง แต่พบได้น้อย

การป้องกันส่าไข้

โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนที่ช่วยป้องกัน แต่สามารถลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้โดยหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีเชื้อนี้และล้างมือบ่อย ๆ และตัวผู้ป่วยเองควรหยุดพักอยู่บ้าน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นจนกว่าจะไข้จะลดลง

7
ขายรถป้ายแดง Mitsubishi All New Triton Double Cab Prime รถทดลองขับ ไมล์น้อย

มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 PRIME 4WD ปี 2023
MITSUBISHI TRITON DOUBLE 4WD PRIME ตัวถังดีไซน์ใหม่!เมกาเฟรม (Mega Frame) ใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เครื่องยนต์ใหม่ ไฮเปอร์เพาเวอร์ กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ (184 PS) แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร เทอร์โบแปรผัน VG Turbo ช่วงล่างใหม่ พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดการขับขี่แบบ Sport ระบบ Super Select 4WD-II สำหรับรุ่น ดับเบิ้ล แค็บ และระบบ Easy Select 4WD สำหรับรุ่น ซิงเกิ้ล แค็บ ตรวจจับแรงบิดด้วยระบบลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้าย (Limited Slip Differential: LSD) ช่วยกระจายกำลังด้วยอัตราส่วนร้อยละ 40 ที่ล้อหน้าและร้อยละ 60 ที่ล้อหลัง

เลือก 4 รูปแบบ 2H, 4H, 4HLc (ระบบล็อกเฟืองท้ายกลาง) และ 4LLc (ระบบล็อกเฟืองท้ายกลางอัตราทดความเร็วต่ำ) พร้อมโหมดการขับขี่ ใหม่! 7 โหมด Normal และแบบ Eco, Gravel, Snow, Mud, Sand และ Rock พร้อม Active Yaw Control: AYC ความปลอดภัยขั้นสุด Diamond Sense

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 15 ก.ย. - 30 ธ.ค. 2567
ส่วนลด 150,000 สามารถนำมาเป็นเงินดาวน์เพื่อทำโปรฟรีดาวน์ได้

ราคาพิเศษ 798,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์          Mitsubishi
   รุ่น               มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 PRIME 4WD ปี 2023
   ประเภทรถ      รถกระบะ 4 ประตู
   ปีที่เปิดตัว      2023


8
งานมอเตอร์เอ็กซ์โปร์ เปิดตัว Zeekr 7X เอสยูวีไฟฟ้าสุดล้ำในจีน วิ่งไกลสุด 780 กม./ชาร์จ

Zeekr 7X เอสยูวีไฟฟ้าขนาดกลาง เปิดตัวแล้วที่งาน Chengdu Auto Show ในวันที่ 30 สิงหาคม พร้อมจำหน่ายแล้วในประเทศจีน เริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน และเริ่มจำหน่ายไปยังประเทศอื่น ๆ ภายในหนึ่งปีหลังจากนี้
 
Zeekr 7X ถือว่าเป็นเอสยูวีไฟฟ้าขนาดกลางรุ่นแรกของค่าย โดยมีมิติตัวถัง ดังนี้
ความยาว 4,825 มม.
ความกว้าง 1,930 มม.
ความสูง 1,666 มม.
ระยะฐานล้อ 2,925 มม.
 
ถือว่า 7X มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เนื่องจากในภาพรวมของรถมีมิติที่เหนือกว่า Honda CR-V ไปอีกหนึ่งเซกเมนต์ รวมถึงใหญ่กว่า XPeng G6 ที่เพิ่งตัวในบ้านเราไปอีกด้วย
 

แพลตฟอร์มจาก Geely คงภาษาการออกแบบของ Zeekr
 
รถคันนี้อยู่ภายใต้แพลตฟอร์ม Sustainable Experience Architecture (SEA) ของ Geely โดยมีน้ำหนักรถ (curb weight) อยู่ที่ 2,298 - 2,475 กก. ขึ้นกับรุ่นย่อย ซึ่งค่อนข้างหนักเลยทีเดียว
 
7X ยังคงใช้ภาษาการออกแบบ Hidden Energy design ของ Zeekr ดีไซน์ด้านหน้าประกอบด้วย หน้าจอ LCD Zeekr Stargate interactive display ซึ่งสามารถส่งข้อความและรูปภาพไปยังผู้คนนอกรถได้
 

ส่วนดีไซน์ด้านท้าย เราจะเห็นไฟท้ายแบบเส้นเดียวตลอดความกว้างรถ สำหรับสีภายนอกของรถมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาว Arctic White, สีน้ำตาล Dawn Brown, สีเทา Nightfall Gray, และสีดำ Polar Night Black ส่วนล้อจะมีให้เลือกตั้งแต่ 19 และ 20 นิ้ว ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย
 

ภายในกว้างขวาง ล้ำสมัย มากประโยชน์ใช้สอย
 
สำหรับภายในของ Zeekr 7X ออกแบบไว้สำหรับครอบครัว สามารถโดยสารได้ 5 ที่นั่ง มาพร้อมที่เก็บของกว่า 32 จุด เก็บได้ตั้งแต่แว่นกันแดดยันลิปสติก ท้ายรถมีความจุสัมภาระที่ 616 ลิตรก่อนพับเบาะ ซึ่ง Zeekr ระบุว่าเพียงพอสำหรับการแคมป์ปิ้งอย่างแน่นอน
 
ดีไซน์ภายในของ Zeekr 7X จะยังประกอบด้วย 2 จอเหมือนรุ่นอื่น ๆ ได้แก่ หน้าจอกลางขนาดใหญ่แบบ Floating Screen และมาตรวัดดิจิทัล LCD ด้านหลังพวงมาลัยที่ติดตั้งเข้าไปในแดชบอร์ด โดยระบบ infotainment ของรถทำงานผ่านชิป Qualcomm Snapdragon 8295

 
7X มาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 4 ก้านตัดบนตัดท้าย บนพวงมาลัยมีทั้งปุ่มเลื่อนและปุ่มกด การเปลี่ยนเกียร์ย้ายจากคอนโซลกลางมาที่หลังพวงมาลัยแล้ว
 
สำหรับที่นั่งแถวหลังมีความกว้างขวาง มีถาดวางของจากเบาะแถวหน้าที่คล้ายกับบนเครื่องบิน ในรุ่นท็อปจะมาพร้อมจอระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึงระบบอุ่น/ระบายอากาศ ของเบาะที่สามารถควบคุมผ่านจอสัมผัสที่พนักวางแขนด้านหลังได้เลย พร้อมทั้งมีหลังคาพานอรามิคซันรูฟที่มีระบบม่านไฟฟ้ามาให้ด้วย
 
 
ขุมพลังแรงเหลือเฟือ โครงสร้างไฟฟ้า 800V ทำ 0-100 ภายใน 3.8 วิ
 
ขุมพลังของ Zeekr 7X มีให้เลือกทั้งมอเตอร์เดี่ยว และมอเตอร์คู่ ประกอบด้วยมอเตอร์ซิลิกอนคาร์ไบด์ขนาด 415 แรงม้า (310 kW) ที่ล้อหลัง และมีมอเตอร์ขนาด 221 แรงม้า (165 kW) ที่ด้านหน้าพิ่มขึ้นมาในรุ่นมอเตอร์คู่ ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 3.8 วินาที
 
7X ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมโครงสร้างไฟฟ้าสถาปัตยกรรม 800V โดยมีความจุแบตเตอรี่ให้เลือก 2 ความจุ ได้แก่
แบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟต ความจุ 75 kWh แบบ Golden Brick พัฒนาโดย Zeekr เอง ผลิตโดย VREMT บริษัทย่อยของ Geely มี สามารถชาร์จแบตฯ จาก 10-80% ได้ภายใน 10.5 นาที โดยซีคเกอร์เคลมว่าเป็นสถิติที่เร็วที่สุดในโลก และรองรับการชาร์จ 5.5C charging ให้ระยะทางขับขี่ 605 กม./ชาร์จ (CLTC)   
แบตเตอรี่ NMC ความจุ 100 kWh จะใช้แบตเตอรี่ Qilin จาก CATL รองรับชาร์จเร็ว 5C charging ให้ระยะทางขับขี่ 780 กม./ชาร์จ (CLTC)
 
โดยแบตเตอรี่ทั้งสองแบบนี้เคยนำเสนอเป็นตัวเลือกสำหรับ Zeekr 007 โมเดลปี 2025 ไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้
 
ระบบความปลอดภัย Zeekr 7X
 
สำหรับระบบความปลอดภัยของ Zeekr 7X มาพร้อมเซนเซอร์รอบคัน ประกอบด้วย LiDAR ประมวลผลด้วยชิป Nvidia Orin X 2 ตัว ที่ให้พลังการประมวลผลที่ 508 TOPS คาดว่ามาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ Haohan intelligent driving 2.0 ซึ่งใช้ใน Zeekr 001 และ 007 อีกด้วย
 
Zeekr 7X พร้อมส่งมอบภายในเดือนหน้าสำหรับตลาดประเทศจีน ส่วนประเทศอื่น ๆ ต้องรอกันไปก่อน แต่ไม่น่าเกินหนึ่งปีหลังจากนี้แน่นอน

9
ฝากร้านฟรีโพสฟรี / รถยนต์ไฟฟ้า 2024: ฉางอาน CHANGAN Lumin L DC ปี 2024
« เมื่อ: วันที่ 19 พฤศจิกายน 2024, 14:32:25 น. »
รถยนต์ไฟฟ้า 2024: ฉางอาน CHANGAN Lumin L DC ปี 2024
499,000 บาท 

ฉางอาน CHANGAN Lumin L DC ปี 2024
Changan Lumin L ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยขนาดที่กะทัดรัดและเทคโนโลยีล้ำสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มอบประสบการณ์การขับขี่ที่คล่องตัว มาพร้อมกับแบตเตอรี่ CATL วิ่งได้สูงสุด 301 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จแบบกระแสตรง DC เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน และด้วยรูปทรงที่น่ารักมาพร้อมสีสันสดใส ทำให้ LUMIN เป็น EV City Car ที่โดดเด่นและน่าจับตามอง

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์            CHANGAN
   รุ่น                 CHANGAN Lumin L DC
   ประเภทรถ       รถเก๋ง 3 ประตู, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว       2024
   ราคา            499,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
ไฟตัดหมอก (หลัง)
ระบบควบคุมระยะการจอด (เซ็นเซอร์ด้านหลัง 2 จุด)
ล้อกระทะ (14 นิ้ว พร้อมฝาครอบ)
ไฟท้าย LED
ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ (ฮาโลเจน)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (ระบบเปิดไฟเพื่อช่วยค้าหารถจากรีโมท)
ขนาดยางหน้า-หลัง (165/70R14)

   ภายใน
ตกแต่งภายใน (สีเทา-ดำ/สีเทาอ่อน-ส้ม)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (Eco/Sport)
พวงมาลัยไฟฟ้า

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า
มอเตอร์ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลัง 48 แรงม้า แรงบิด 83 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 101 กม./ชม. ระยะเวลาการชาร์จแบบ AC (0-100%) ใน 10 ชม. ระยะเวลาการชาร์จแบบ DC (30-80%) ใน 35 นาที พร้อมระบบดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่

   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   แรงม้า
   ระบบเกียร์                    เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS              มี
   ชนิดแบตเตอรี่               ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่            28.08 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง      301
   น้ำหนักตัวรถ                        925 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                  -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                     ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย 
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP)
เซ็นทรัลล็อค (อัตโนมัติตามความเร็วรถ/ระบบปลดล๊อคอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน)
กุญแจรีโมท (กุญแจ Smart Key / Keyless Entry)
ไฟเบรกดวงที่ 3
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบตรวจจับความผิดปกติของลมยาง)
เข็มขัดนิรภัย (ด้านหน้าล๊อก 3 จุด)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HHC)
กล้อง (มองหลัง)
เสียงเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย (ด้านคนขับ)

10
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: ไม่อยากติดโควิด 19 ป้องกันตัวเองอย่างไร

ปัจจุบันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ถือเป็นวิกฤติด้านสุขภาพครั้งใหญ่ มีการระบาดในวงกว้าง และลุกลามไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยเชื้อโควิด19 สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ 2 วิธี

วิธีที่ 1 การแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะ เมื่อผู้ติดเชื้อพูดหรือไอ จาม จะเกิดละอองฝอยของน้ำมูกน้ำลายกระจายออกมา หากผู้ที่อยู่ใกล้สูดหายใจเข้าไป ก็จะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งละอองฝอยที่เกิดจากทางเดินหายใจ มีระยะการกระจายประมาณ 1 เมตร

วิธีที่ 2 เกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อนำมือไปสัมผัสกับสารคัดหลั่ง ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของตนเอง จึงมีเชื้อปนเปื้อนอยู่ที่มือ เมื่อผู้ติดเชื้อใช้มือจับสิ่งของต่าง ๆ หรือในพื้นที่สาธารณะ เชื้อไวรัสจึงปนเปื้อนอยู่ตามผิวสัมผัสของสิ่งของเหล่านั้น เมื่อผู้อื่นนำมือไปสัมผัสสิ่งของเหล่านั้น และนำมือมาสัมผัสใบหน้า ปาก ตา จมูก ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้

เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และผู้อื่น เราสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด19 ด้วยการปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันโควิด19 ดังต่อไปนี้

    สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าทุกครั้งที่ต้องพบปะผู้คน เมื่อต้องออกจากบ้าน หรืออยู่ในพื้นที่แออัด เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากคนอื่นมาติดเรา หรือเมื่อท่านมีอาการป่วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากเรา ที่อาจจะไปติดผู้อื่นได้
    ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร ก่อนสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก ปาก หลังเข้าห้องน้ำ หลังปิดปาก เมื่อไอ จาม โดยควรล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้ถูกวิธี โดยใช้เวลาในการล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที หรือล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ปาก จมูก ตา หู หากยังไม่ได้ล้างมือ เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคโควิด19 เข้าสู่ร่างกายได้
    หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด
    เว้นระยะห่างจากผู้อื่น 1-2 เมตร
    ควรไอ จามอย่างถูกวิธี โดยใช้กระดาษทิชชู่ ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อจะไอ หรือจาม แล้วทิ้งกระดาษลงถังขยะให้เรียบร้อย หรือไอจามใส่ข้อพับแขนหากไม่มีกระดาษทิชชู่
    ทำความสะอาดเครื่องใช้ อุปกรณ์ภายในบ้าน หรือที่ทำงาน รวมถึงจุดสัมผัสต่าง ๆ ที่มีการสัมผัสร่วมกันกับผู้อื่นบ่อยๆ
    ใช้แอพพลิเคชั่น หมอชนะ หรือไทยชนะ

การปฏิบัติตัวให้ปลอดภัยเมื่อต้องออกไปชอปปิ้ง หรือซื้อของช่วงโควิด19

    ต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา
    เลือกเข้าร้านที่มีระบบระบายอากาศที่ดี คนไม่หนาแน่น
    วัดไข้ และลงทะเบียนเช็คอิน เมื่อเข้าหรือออกจากร้าน
    เข้าคิวตามที่ร้านกำหนด และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร
    สวมถุงมือพลาสติก หากทางร้านจัดไว้ให้สำหรับหยิบจับสิ่งของ และควรใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
    ล้างมือเมื่อจับจุดสัมผัสร่วมกับผู้อื่น เช่น ลูกบิดประตู ปุ่มลิฟต์
    เลือกชำระเงินด้วยระบบ E-Payment
    ควรใช้เวลาในการช้อปปิ้งหรือซื้อของให้น้อยที่สุด

สิ่งที่ต้องทำเมื่อกลับถึงบ้าน เพื่อให้บ้านปลอดโควิด19

    เมื่อกลับถึงบ้าน ควรถอดรองเท้าไว้นอกบ้าน เพราะรองเท้าอาจจะเหยียบติดสารคัดหลั่งจากภายนอกเข้ามาได้
    ถอดหน้ากากอนามัย พับทิ้งลงถังขยะภายนอกบ้าน หรือถังขยะที่ปิดมิดชิดหรือหากสวมหน้ากากผ้า ควรซักทำความสะอาดทุกวัน
    ล้างมือก่อนเปิดประตูบ้าน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจติดมากับมือ
    เช็ดกระเป๋า กุญแจ หรือเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ ที่อาจะนำไปวางตามพื้นที่สาธารณะ
    ห้ามนั่งเก้าอี้ หรือโซฟาก่อนอาบน้ำ
    แยกซักเสื้อผ้าที่ใส่นอกบ้านกับในบ้านออกจากกัน
    อาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่

11
อาการของโรคไข้หวัดนก หรือไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก (Bird flu/Avian influenza)

ไข้หวัดนก (ไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีกก็เรียก) จัดเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) อันเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่จากสัตว์ปีกมาสู่คน พบผู้ป่วยโรคนี้ครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2540 ต่อมาเริ่มพบผู้ป่วยในประเทศเวียดนาม และไทย (เมื่อปลายปี พ.ศ. 2546) ในกัมพูชา อินโดนีเซีย และจีน (เมื่อปี พ.ศ. 2548) อาเซอร์ไบจัน อียิปต์ อิรัก ตุรกี จีบูติ (พ.ศ. 2549) ลาว พม่า ไนจีเรีย ปากีสถาน (พ.ศ. 2550)

ไข้หวัดนกพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และมีความรุนแรง ซึ่งมีอัตราตายสูง

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไข้หวัดนก ซึ่งเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 เชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีอยู่ในนกน้ำที่มีการอพยพย้ายถิ่น นกชายทะเล และนกป่า นกเหล่านี้เป็นพาหะของโรค (ติดเชื้อโดยไม่มีอาการเจ็บป่วย) เป็นส่วนใหญ่ แต่จะปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลาย น้ำมูก และมูลนก แพร่ให้นกธรรมชาติ นกบ้าน ฝูงสัตว์ปีกตามฟาร์มและบ้านเรือน เช่น ไก่ ไก่ชน ไก่งวง ไก่ต๊อก เป็ด ห่าน เป็นต้น ทำให้เกิดโรคระบาดและการตายอย่างรวดเร็วของฝูงสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่ที่เลี้ยงตามบ้านและฟาร์มที่เป็นโรงเรือนเปิด ส่วนเป็ดในท้องทุ่งเมื่อมีการติดเชื้อชนิดนี้ส่วนหนึ่งจะป่วยและตาย แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นพาหะ (ไม่มีอาการเจ็บป่วย) ซึ่งสามารถแพร่เชื้อให้สัตว์ปีกอื่น ๆ ต่อไป

นอกจากนี้ยังพบว่า เชื้อไข้หวัดนกยังสามารถติดต่อไปยังสัตว์ประเภทเสือ สุนัข แมว และหมู ทำให้สัตว์เหล่านี้ป่วยและตายได้ สำหรับแมวพบว่าสามารถติดต่อจากแมวสู่แมวด้วยกันเองได้อีกด้วย

การติดเชื้อจากสัตว์ปีกมาสู่คน สัตว์ปีกที่ป่วยจะมีเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย น้ำตา และมูลสัตว์ ซึ่งจะปนเปื้อนอยู่ตามตัวของสัตว์ปีกและสิ่งแวดล้อม คนเราสามารถติดเชื้อไข้หวัดนกได้ 2 ทาง ได้แก่

1. การสัมผัสกับสัตว์ปีก (โดยเฉพาะไก่) ที่ป่วยโดยตรง

2. การสัมผัสถูกสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อในบริเวณที่เกิดโรคระบาดของสัตว์ปีก เช่น ดิน กรงหรือเล้าสัตว์ น้ำหรืออาหารที่ป้อนสัตว์ เป็นต้น

เชื้อจะติดมากับมือของผู้ป่วย เมื่อเผลอใช้นิ้วมือแยงตา แยงจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุตาและเยื่อบุจมูก

ระยะฟักตัว 2-8 วัน (เฉลี่ย 4 วัน)

กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้ที่คลุกคลีสัมผัสใกล้ชิดกับไก่ที่ป่วย หรืออยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของไข้หวัดนกในฝูงสัตว์ปีก เช่น ผู้ที่เลี้ยงไก่ ทำงานในฟาร์มไก่ ขนย้ายไก่ ชำแหละไก่ เด็กที่เล่นคลุกคลีกับไก่ ผู้ที่ทำหน้าที่ทำลายสัตว์ปีก เป็นต้น

การติดเชื้อจากคนสู่คนแบบไข้หวัดใหญ่นั้นเกิดได้ยาก จะต้องมีการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น แม่ดูแลลูกที่ป่วย โดยการสัมผัสน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย และการติดต่อจะสิ้นสุดที่ผู้ติดเชื้อคนที่ 2 (เช่น แม่ที่ติดเชื้อจากลูก) ไม่ติดต่อให้คนที่ 3 ต่อไป

แต่เกรงกันว่า เชื้อไข้หวัดนกอาจกลายพันธุ์โดยการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดนกกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ของคน เมื่อคนหรือหมูติดเชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน หากเกิดการกลายพันธุ์ก็สามารถติดจากคนสู่คนได้ง่าย และอาจมีการระบาดรุนแรงดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต (ในปี พ.ศ. 2461-2462 มีการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สเปน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกราว 20-40 ล้านคน เกิดจากการกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่โดยการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมในหมู)


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการแบบไข้หวัดใหญ่ คือเริ่มด้วยอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วตัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ บางรายอาจมีอาการตาแดง ปวดท้อง อาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย

ต่อมาผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการหายใจหอบเนื่องจากปอดอักเสบ ซึ่งอาจเกิดตั้งแต่ 1-16 วัน (ค่ามัธยฐาน 5 วัน) หลังมีไข้ บางรายอาจมีอาการปอดอักเสบหลังจากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินนำมาก่อน โดยไม่มีอาการเจ็บคอ เป็นหวัด ไอก็ได้

นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการท้องเดินรุนแรงนำมาก่อน แล้วตามมาด้วยอาการชัก หมดสติ และตายเนื่องจากภาวะสมองอักเสบก็ได้

ในรายที่เป็นไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อนก็จะหายได้เองภายใน 2-7 วัน อาการรุนแรงมักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

บางรายอาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการแสดงก็ได้


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญก็คือ ปอดอักเสบ (ซึ่งเกิดจากไวรัสเป็นส่วนใหญ่) และกลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome/ARDS) ซึ่งอาจเกิดตั้งแต่ 4-13 วัน (ค่ามัธยฐาน 6 วัน) หลังมีไข้ และเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ การเสียชีวิตเกิดตั้งแต่ 9-30 วัน (ค่ามัธยฐาน 12 วัน) หลังมีไข้

นอกจากนี้ ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น หัวใจวาย ไตวาย ตับอักเสบ เลือดออกในปอด (pulmonary hemorrhage) ปอดทะลุ ภาวะพร่องเม็ดเลือดทุกชนิด (pancytopenia) โรคเรย์ซินโดรม กลุ่มอาการโลหิตเป็นพิษ (sepsis syndrome) เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

ไข้ ≥ 38 องศาเซลเซียส

อาจพบอาการน้ำมูกไหล (พบได้ประมาณร้อยละ 50-60 ของผู้ป่วย)

ในรายที่มีปอดอักเสบร่วมด้วย จะพบอาการหายใจหอบ ใช้เครื่องตรวจฟังปอดอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการนำสิ่งคัดหลั่งบริเวณคอหอย โพรงหลังจมูก หรือหลอดลมไปตรวจหาเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น immunofluorescent assay (IFA), reverse transcriptase-poly-merase chain reaction (RT-PCR), real time PCR การแยกเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง เป็นต้น และทำการตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ปอด (พบร่องรอยการอักเสบของปอด) ตรวจเลือด (พบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ต่ำ เอนไซม์ตับ ได้แก่ AST และ ALT สูง ครีอะตินีนสูง)

การรักษาโดยแพทย์

ถ้าพบผู้ป่วยเป็นไข้ (≥ 38 องศาเซลเซียส) ไข้หวัดหรือไข้ร่วมกับหายใจหอบ และมีประวัติสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วันก่อนป่วย หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วันก่อนป่วย หรือพบผู้ป่วยที่สงสัยเป็นไข้หวัดนก ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

ถ้าตรวจพบหรือสงสัยเป็นไข้หวัดนก มักจะต้องรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

การรักษา แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) นาน 5 วัน ยานี้จะใช้ได้ผลดีควรให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ

ในรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า นาน 7-10 วัน

นอกจากนี้ จะให้การรักษาตามอาการหรือภาวะที่พบร่วม เช่น ถ้าหายใจหอบก็ใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้ออกซิเจน

ถ้าสงสัยมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่สงสัย

ในรายที่มีภาวะการหายใจล้มเหลว อาจพิจารณาให้สเตียรอยด์ (ซึ่งยังสรุปไม่ได้แน่ชัดถึงประโยชน์ของการใช้ยานี้)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน มักจะมีอัตราตายสูง มักตายภายใน 6-30 วันหลังมีอาการ (เฉลี่ย 9-10 วัน)

ในรายที่มีอาการไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็มักจะรักษาให้หายขาดได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้หลังจากสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ปีกที่มีอาการป่วยหรือตาย หรืออยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของไข้หวัดนกในฝูงสัตว์ปีก หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ หรือเพิ่งกลับจากการเดินทางไปยังประเทศหรือเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดนก ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีกที่มีอาการป่วยหรือตาย และไม่นำสัตว์ปีกพวกนี้มาชำแหละเป็นอาหาร

2. หากจำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ปีกในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดนก ให้สวมหน้ากากอนามัย และถุงมือ (ถ้าไม่มีให้สวมถุงพลาสติกหนา ๆ แทน)

3. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ทุกครั้งหลังการสัมผัสสัตว์ปีก น้ำลาย น้ำมูก และมูลของสัตว์ปีก

4. กินเนื้อสัตว์ปีก หรือไข่ที่ปรุงให้สุกแล้ว

5. เมื่อสมาชิกในบ้านเป็นไข้หรือไข้หวัด ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันไข้หวัด (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ในโรคไข้หวัด)

หากสงสัยเป็นไข้หวัดนก ให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว และผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาให้กินยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ป้องกัน ผู้ใหญ่กินขนาด 75 มก. (เด็กใช้ขนาดครึ่งหนึ่งของที่ใช้ในการรักษา) วันละครั้ง นาน 7-10 วัน

6. สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข

    ในกรณีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วย ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ (ถ้าหากเป็นพร้อมกับไข้หวัดนก ก็อาจเสี่ยงต่อการทำให้มีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม จนกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดนกที่แพร่จากคนสู่คนได้ง่าย)
    ทุกครั้งที่ให้การดูแลผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรสวมหน้ากากอนามัย แว่นตาป้องกันการติดเชื้อ และเสื้อกาวน์ รวมทั้งหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่
    ถ้ามีการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดนก โดยไม่ได้ทำตามมาตรการป้องกันดังกล่าว ควรกินยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ขนาด 75 มก. วันละครั้ง นาน 7-10 วัน
    เมื่อมีการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรเฝ้าระวังสังเกตอาการและวัดไข้ทุกวัน จนพ้นระยะฟักตัวของโรค หากมีอาการน่าสงสัย ควรรีบทำการตรวจวินิจฉัย และอาจจำเป็นต้องให้ยารักษาแต่เนิ่น ๆ

การป้องกันและควบคุมโรคระบาดในสัตว์ปีก

1. ป้องกันไม่ให้นกอพยพและสัตว์พาหะอื่น ๆ เข้ามาในฟาร์ม

2. นำไก่อายุเดียวกันเข้าฟาร์มมาทีละชุด และควรแยกขังสัตว์ที่นำเข้ามาใหม่ไว้ก่อนจนพ้นระยะฟักตัวของโรค

3. ดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อเข้ามาในฟาร์มอย่างเข้มงวด เช่น ไม่นำวัสดุรองพื้น ถาดไข่ และวัสดุอุปกรณ์จากพื้นที่ระบาดมาใช้ ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อตามยานพาหนะ วัสดุ อุปกรณ์

4. ฉีดวัคซีนป้องกันเฉพาะในสัตว์ปีกที่มีราคาแพง เช่น สัตว์ปีกสวยงาม ไก่ชน

5. เฝ้าระวังโรคในสัตว์ปีกอย่างใกล้ชิด ถ้าสงสัยสัตว์ปีกป่วยเป็นไข้หวัดนก (มีอาการไข้ หงอยซึม ไม่กินอาหาร ขนยุ่ง หน้า หงอน และเหนียงบวม และมีสีแดงคล้ำ มีจุดเลือดออกที่หน้าแข้ง ไอ จาม น้ำมูกไหล อาจมีอาการท้องเสีย ชัก และลดการไข่ หรือไข่มีลักษณะผิดปกติ ตายอย่างรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง) ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อดำเนินการควบคุมโรค ดังนี้

    ในฟาร์มที่มีการระบาด ต้องทำลายสัตว์ปีกทั้งหมด รวมทั้งสัตว์ปีกในพื้นที่ควบคุมรัศมี 1-5 กม.
    เก็บตัวอย่างมูลสัตว์ (cloacal swab) ในพื้นที่ควบคุมส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    ซากไก่ เป็ด ไข่ รวมทั้งมูลสัตว์ในพื้นที่ระบาดต้องทำลายทิ้งทั้งหมดด้วยการฝังหรือเผา ห้ามนำมาบริโภค หรือนำไปทำปุ๋ย หรือเลี้ยงสัตว์

วิธีฝัง ให้ใส่ซากสัตว์ในถุงพลาสติก รัดปากถุงให้แน่น ฝังให้ห่างจากบ่อน้ำหรือแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างน้อย 30 เมตร ฝังซากให้ลึกอย่างน้อย 1 เมตร แล้วโรยปูนขาวหรือราดน้ำยาฆ่าเชื้อ หรืออาจใช้น้ำเดือดราดที่ซากก่อนกลบดินให้แน่น

    ทำความสะอาด และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วโรงเรือนและบริเวณโดยรอบอย่างสม่ำเสมอ
    ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ปีก และเฝ้าระวังการติดเชื้อในพื้นที่ควบคุมรัศมี 50 กม.
    กรณีที่ต้องการเก็บซากสัตว์เพื่อทำลาย หรือส่งตรวจชันสูตร ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน (เช่น ถุงมือ หน้ากากอนามัย) เมื่อเสร็จงานแล้ว ควรนำอุปกรณ์และเสื้อผ้าไปทำความสะอาดด้วยน้ำที่ผสมผงซักฟอก ผึ่งแดดให้แห้ง เสร็จแล้วต้องรีบล้างมือ และอาบน้ำชำระร่างกายด้วยน้ำกับสบู่ทันที
    ในพื้นที่ที่เกิดโรคระบาด ห้ามนำสัตว์ปีกเข้ามาเลี้ยงใหม่จนกว่าจะตรวจสอบไม่พบการติดเชื้อเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน

ข้อแนะนำ

1. เนื่องจากโรคนี้มีอาการคล้ายไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ แต่มีอันตรายร้ายแรงกว่ากันมาก เนื่องจากเกิดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งคนเรายังขาดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยที่มีอาการไข้หรือเป็นไข้หวัด และมีประวัติว่ามีการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย หรือผู้ป่วยไข้หวัดนก ภายใน 7 วันก่อนไม่สบาย หรืออยู่ในพื้นที่ที่เกิดการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วันก่อนไม่สบาย ก็ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว หากเป็นโรคนี้ควรได้ยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้

2. ผู้ที่สัมผัสสัตว์ปีก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่หรือเป็ด) ที่ป่วยหรือตาย หรือผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากเป็นไปได้ควรทำการวัดไข้ด้วยปรอททุกวัน วันละ 2 ครั้ง จนพ้นระยะฟักตัวของโรค

3. แม้ว่าในปัจจุบันการติดเชื้อจากคนที่เป็นไข้หวัดนกโดยตรงนั้นยังเกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งต้องอยู่สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด แต่เพื่อความปลอดภัย แพทย์ บุคลากรสาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วย จะต้องป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อจากผู้ป่วย (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านบน)

4. ถึงแม้ในปัจจุบันไม่มีรายงานการเกิดผู้ป่วยไข้หวัดนก แต่ควรติดตามเฝ้าระวัง หากมีผู้ป่วยเกิดขึ้นใหม่จะได้ระมัดระวังหาทางป้องกันไม่ให้เป็นโรคร้ายแรงชนิดนี้

12
ฝากร้านฟรีโพสฟรี / มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy Xcover6 Pro (6GB/128GB)
« เมื่อ: วันที่ 17 พฤศจิกายน 2024, 16:13:57 น. »
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy Xcover6 Pro (6GB/128GB)
N/A 

ซัมซุง SAMSUNG Galaxy Xcover6 Pro (6GB/128GB)
Samsung Galaxy Xcover6 Pro สมาร์ตโฟนหน้าจอ PLS LCD ขนาด 6.6 นิ้ว กล้องหลัง 2 เลนส์ ความจุแบตเตอรี่ 4,050 mAh รองรับ Fast charging 15W

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น              ซัมซุง SAMSUNG Galaxy Xcover6 Pro (6GB/128GB)
   ราคากลาง            -
   จำนวนซิม             2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์            จอสัมผัส
   สี                      Black
   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM 850/900/1800/1900 MHz)
3G(UMTS 850/900/1900/2100 MHz)
4G(LTE Bands 1/ 2/ 3/ 4/ 5/ 7/ 8/ 13/ 18/ 20/ 25/ 26/ 28/ 31/ 34/ 38/ 39/ 40/ 41)
5G(5G Bands 1/ 3/ 5/ 7/ 38/ 40/ 41/ 77/ 78)

   ขนาด-น้ำหนัก                  ยาว 168.8 x กว้าง 79.9 x หนา 9.9 มม., น้ำหนัก 235 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM) 128 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด   microSDXC
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ      ความจุแบตเตอรี่ 4,050 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ          จอสัมผัส (PLS LCD)
   ความละเอียด   6.6 นิ้ว, 400 ppi, 1,080 x 2,408 px
   รายละเอียดอื่น
ระบบปฏิบัติการ Android 12, One UI 4.1
กล้องหลัง 2 เลนส์ เลนส์หลัก 50 MP, f/1.8 + เลนส์ ultrawide 8 MP, f/2.2
ประมวลผลชิปเซ็ต Qualcomm SM7325 Snapdragon 778G 5G
มีระบบเซนเซอร์ Fingerprint (side-mounted), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
รองรับ Fast charging 15W

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด               กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (13 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                            Auto Focus

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)            Octa-core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)    Adreno 642L
   หน่วยความจำ (RAM)               6.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก               USB(Type-C 3.2), Bluetooth(5.2), NFC, Wi-Fi(802.11 a/b/g/n/ac/mc/6e, tri-band, Wi-Fi Direct, hotspot)
   ระบบรับส่งข้อความ                  SMS, MMS, EMAIL, PUSH MAIL
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, GPRS, EDGE, WiFi, 4G, 5G
   ระบบ GPS                           A-GPS, GLONASS, BDS, GALILEO, QZSS

13
บ้านใหม่ 2024: แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ - ราชพฤกษ์ (Grande Pleno Chaengwattana - Ratchapruek)
เริ่มต้น 6.09 ลบ. 

แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ - ราชพฤกษ์ (Grande Pleno Chaengwattana - Ratchapruek)
แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ - ราชพฤกษ์ บ้านแฝดโครงการใหม่จาก เอพี ไทยแลนด์ บ้านแฝด The Grandiose Living ที่เติมเต็มชีวิต ยกระดับการอยู่อาศัย มาพร้อมกับพื้นที่ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ ให้ลูกบ้านได้อยู่อาศัยไปกับธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ บนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อ "แจ้งวัฒนะ" เพียง 5 นาที*

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ - ราชพฤกษ์ (Grande Pleno Chaengwattana - Ratchapruek)
 เจ้าของโครงการ         เอพี (ไทยแลนด์)
 แบรนด์ย่อย              แกรนด์ พลีโน่
 ราคา                      เริ่มต้น 6.09 ลบ.

 ประเภทบ้าน            บ้านแฝด
 ลักษณะทำเล           บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ          33 ไร่ 2 งาน 6 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน             198 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด        2 แบบ
  เนื้อที่บ้าน              ตั้งแต่ 35.25 ถึง 44.6 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย            ตั้งแต่ 143 ถึง 169 ตร.ม.
 จำนวนชั้น                2 ชั้น
 หน้ากว้าง               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน        ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ        ตั้งแแต่ 2 ถึง 3 คัน
 สาธารณูปโภค          สวนสาธารณะ, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง       ถนนหอการค้า ตำบลบางตะไนย์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีชมพู, สถานี(แคราย - มีนบุรี)(ปากเกร็ด)
ใกล้ทางด่วน (ทางพิเศษอุดรรัถยา, ทางด่วนศรีสมาน, ทางด่วนศรีรัช)
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนหอการค้าไทย, ถนนชัยพฤกษ์, ถนนราชพฤกษ์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า
1. Robinson Lifestyle ราชพฤกษ์
2. Central แจ้งวัฒนะ
3. The Crystal PTT
4. HomePro ชัยพฤกษ์
5. Index Living Mall ชัยพฤกษ์

สถานศึกษา
1. โรงเรียนนานาชาติ SISB
2. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นนทบุรี
3. โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์

สถานพยาบาล
1. โรงพยาบาลปากเกร็ด 2
2. โรงพยาบาลกรุงไทย ปทุม
3. โรงพยาบาลวิภารามปากเกร็ด
4. โรงพยาบาลกรุงไทย

14
ซ่อมบำรุงอาคาร: การติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นให้ปลอดภัยต่อการใช้งาน

บ้านของเรา ถือว่าเป็นที่พักอาศัยที่เป็นปัจจัยสำคัญ เป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยและเป็นที่พักผ่อนของเรา ดังนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความสะดวกสบายกับผู้อยู่อาศัย นอกจากจะให้สบายแล้ว ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพของคนในบ้านด้วย หากเราพูดถึงเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกหนึ่งชิ้นที่สำคัญที่จะต้องมีแทบทุกบ้าน เพราะน้ำเย็น ๆ ที่ส่งผ่านฝักบัวมาในยามเช้าหรือกลางดึก


อาจจะทำให้การอาบน้ำของทุกวันเป็นเรื่องยากลำบาก ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวัน และความต้องการของแต่ละคน บางคนก็ชอบอาบน้ำเย็นเพื่อให้รู้สึกสดชื่น แต่ในขณะที่หลายคนก็ชอบอาบน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายร่างกายจากความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ดังนั้น ตัวช่วยที่ดีก็คงหนีไม่พ้นเครื่องทำน้ำอุ่น ยิ่งในช่วงหน้าหนาว หากขาดเครื่องทำน้ำอุ่นไป ก็คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ในปัจจุบันเครื่องทำน้ำอุ่นสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าและท้องตลาดทั่วไป


มีราคาที่ไม่แพงและสามารถติดตั้งได้ด้วยตนเอง แต่ในขั้นตอนการติดตั้งนั้น ก็ต้องอยู่ในพื้นฐานของความปลอดภัย หากติดตั้งไม่ถูกวิธีอาจจะทำอันตรายต่อชีวิตได้เลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นให้ปลอดภัยต่อการใช้งาน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนที่อยากจะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยตัวเองให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานมากที่สุด
 
 
หากเราจะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นสักเครื่องภายในบ้านของเรา อย่างแรกคือต้องเข้าใจเกี่ยวกับระบบต่างของมันก่อน เพราะเครื่องทำน้ำอุ่น เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานควบคู่กับไปกับฝักบัวหรือก๊อกน้ำ โดยตัวเครื่องเป็นตัวกลางเปลี่ยนน้ำเย็น ๆ ให้อุ่นหรือร้อนขึ้นด้วยฮีตเตอร์ สามารถปรับอุณภูมิจากตัวเครื่องได้ เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้านและคอนโด เพราะมีขนาดเล็กกะทัดรัด ติดตั้งง่าย ช่วยให้การอาบน้ำได้ง่ายขึ้นในวันที่อากาศเย็น หรือน้ำเย็นจนเกินไป ทั้งยังทำให้ร่างกายตื่นตัว รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด


รู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ สำหรับวิธีการติดตั้ง เรามักจะเห็นคำเตือนจากสติ๊กเกอร์ที่ติดมากับตัวเครื่องว่าควรติดตั้งสายดิน ก่อนอื่นเราควรศึกษาวิธีการติดตั้งจากคู่มือติดตั้งที่มาพร้อมกับเครื่อง เปิดฝาเครื่องทำน้ำอุ่น เพื่อตรวจสอบอุปกรณ์ จุดต่อสายไฟ และจุดติดตั้งกับผนัง และกำหนดตำแหน่งที่จะติดตั้ง โดยคำนึงถึงตำแหน่งที่สะดวกในการเชื่อมต่อกับก๊อกน้ำ และการเดินสายไฟ ควรสูงจากพื้นประมาณ 1.6 เมตร และตำแหน่งด้านขวาของฝักบัว ปิดเบรกเกอร์ที่ตู้ควบคุม เพื่อความปลอดภัยในการทำงาน

 
เดินสายไฟและสายดิน ไปยังจุดติดตั้งและควรติดตั้งเบรกเกอร์อีกตัวหน้าห้องน้ำ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ควรเลือกขนาดของสายไฟต้องได้มาตรฐาน และทำการเจาะผนังด้วยสว่าน ตอกพุกเข้าไปที่ผนัง แขวนเครื่องทำน้ำอุ่นเข้ากับสกรูที่ผนังให้แข็งแรงต่อสายไฟ และต่อสายดิน เข้ากับจุดต่อภายในเครื่องทำน้ำอุ่น หลังจากนั้นต่อสายน้ำดีเข้าเครื่อง ตามตำแหน่งน้ำเข้า แล้วต่อสายฝักบัวเข้าทางน้ำออก เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ควรเปิดน้ำเพื่อทดสอบการไหลของน้ำให้มีแรงดันปกติ และตรวจสอบการรั่วซึมต่าง ๆ
เปิดระบบไฟ เพื่อทดสอบการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่นว่าไฟสถานะการทำงานขึ้นปกติหรือไม่ และอุณหภูมิน้ำสูงตามระดับที่ปรับ กดปุ่ม Test อุปกรณ์ป้องกันไฟดูด ถ้าปกติเครื่องก็จะดับทันที เสร็จแล้วก็กด RESET เพื่อให้เครื่องทำงานตามปกติ ถ้ากด TEST แล้วพบว่าเครื่องไม่ดับต้องทำการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาก่อนการใช้งาน เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถใช้เครื่องทำน้ำอุ่นได้อย่างสบายใจและปลอดภัยได้อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในห้องน้ำซึ่งเสี่ยงจะเกิดอันตรายต่อชีวิตได้ง่าย

 
ดังนั้น เวลาเลือกซื้อจึงต้องคำนึงถึงระบบความปลอดภัยของตัวเครื่องเป็นหลัก ตามมาตรฐานความปลอดภัยควรมีเครื่องป้องกันไฟฟ้ารั่วพร้อมคู่มือการใช้งาน ตัวเครื่องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีใบรับรองคุณภาพ พร้อมเครื่องหมาย มอก. หากจะให้ดีควรมีฉลากกำกับแสดงรายละเอียดสินค้า ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายที่เห็นข้อความชัดเจนและครบถ้วนด้วย

 
หรือถ้าหากอยากติดตั้งแต่ไม่ชัวร์ว่าจะปลอดภัยหรือไม่ สามารถติดต่อทางเราได้ เพราะเรามีบริการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น รวมไปถึงบริการการจัดการน้ำต่างๆทั้งตามบ้านเรือนและอาคารสถานที่ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและติดตั้งระบบปั๊ม ระบบสุขาภิบาล มีทีมช่างเฉพาะทางที่พร้อมจะเข้าไปดูแล บำรุงรักษา ในส่วนของการจัดการระบบน้ำประปาและระบบสุขาภิบาลได้อย่างมีคุณภาพ เพราะคำนึงในเรื่องของความปลอดภัยของลูกค้า เพื่อให้มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันและมีคุณภาพชีวิตและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี

15
ซ่อมบำรุงอาคาร: ปัญหาน้ำรั่วจากพื้นห้องน้ำชั้น 2 เกิดจากอะไร ?

ปัญหาน้ำรั่วซึม เป็นปัญหาที่เจ้าของบ้านหลายคนต้องเผชิญ เพราะเป็นปัญหาที่มักจะพบได้บ่อย อาจจะเกิดจากวัสดุเสื่อมสภาพหรือปัญหาอื่นๆที่อยู่เหนือการควบคุม ส่วนใหญ่ปัญหาดังกล่าวนี้ อาจจะสร้างความหนักใจให้กับใครหลายๆคน เพราะนอกจากจะต้องเจอปัญหาน้ำซึมแล้ว ก็มักจะเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ตั้งแต่พื้นหรือผนังเกิดความชื้นจนเชื้อราหรือตะไคร่ขึ้น สีทาบ้านลอกล่อน วัสดุกรุผิวโป่งพองหรือหลุดร่วง ไปจนถึงโครงสร้างบ้านได้รับความเสียหายจากการที่เหล็กเสริมในคอนกรีตเป็นสนิม ปัญหาน้ำซึมดังกล่าวมีที่มาจากทั้งภายนอกและภายในบ้าน โดยมีสาเหตุและแนวทางการแก้ไขต่างกันไป


แต่ปัญหาน้ำรั่วที่เกิดจากพื้นห้องน้ำ หรือมีน้ำรั่วมาจากพื้นห้องน้ำชั้นสอง ก็เป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้เราไม่น้อย เพราะจะทำให้เกิดเชื้อรา และทำให้บ้านดูเก่าและโทรม จนบางครั้งอาจส่งกลิ่นเหม็นออกมาด้วย ซึ่งหากเกิดกรณีแบบนี้ เราควรเรียกช่างมาซ่อมและแก้ไขทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ และควรหาต้นตอของปัญหาเพื่อที่จะได้แก้ไขได้อย่างตรงจุด เพราะไม่อย่างนั้น ปัญหานี้อาจจะกลับมาอีก และจะส่งผลให้เกิดความเสียหายอื่นๆตามมาได้ ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงสาเหตุของการเกิดน้ำรั่วซึมจากห้องน้ำชั้น 2 ว่าเกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้กับเจ้าของบ้านที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ ได้ทำการแก้ไขได้อย่างถูกต้องและไม่ทำให้ต้องมานั่งเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย

หลายครั้งที่เจ้าของบ้านอาจจะต้องเจอกับปัญหาน้ำรั่วซึมบริเวณเพดาน ยิ่งบ้านไหนมี 2 ชั้น และสังเกตเห็นร่องรอยของการรั่วซึมบนเพดานที่ตรงกับตำแหน่งของห้องน้ำชั้นสอง ให้สันนิษฐานก่อนเลยว่า น้ำที่รั่วซึมอยู่นั้น อาจจะมีสาเหตุมาจากห้องน้ำ หรือแม้ว่าหากมีการรั่วซึมทั้ง ๆ ที่ฝนไม่ได้ตก หรือไม่ได้อยู่ในช่วงหน้าฝน ก็คาดว่าน่าจะเป็นปัญหาจากน้ำภายในตัวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากท่อประปารั่ว หรือน้ำจากท่อระบายน้ำรั่ว ซึ่งมักจะเกิดในจุดที่ใกล้กับท่อเหล่านั้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรืออาจเป็นพื้นที่ทางผ่านท่อประปาและท่อระบายน้ำ ทั้งนี้ หากเป็นท่อประปารั่วสามารถสังเกตได้จากมิเตอร์น้ำว่าหมุนหรือไม่ทั้ง ๆ ที่ปิดน้ำทุกจุดแล้ว หากหมุนแสดงว่ามีจุดที่น้ำรั่ว แต่หากเป็นท่อระบายน้ำรั่วต้องอาศัยพิจารณาจากแบบระบบสุขาภิบาลของบ้าน หรือคาดเดาเส้นทางการเดินท่อระบายน้ำที่มีอยู่ เมื่อหาตำแหน่งท่อที่เกิดปัญหารั่วพบแล้วให้ทำการซ่อมแซมให้เรียบร้อย


โดยหากเป็นกรณีที่จำเป็นต้องทุบสกัดพื้นหรือผนังเพื่อซ่อมแซม อาจพิจารณาเดินท่อชุดใหม่ทดแทน สำหรับปัญหาดังกล่าว หากเกิดจากห้องน้ำบริเวณชั้นสอง อาจจะเกิดได้จากยาแนวเสื่อมสภาพ เพราะพื้นห้องน้ำเป็นส่วนที่มักจะเปียกชื้นอยู่เสมอ และเป็นส่วนที่จะต้องโดนน้ำยาทำความสะอาดพื้น คราบสบู่ แชมพู และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ทำให้กาวยาแนวเสื่อมสภาพลง และส่งผลให้น้ำหรือความชื้นลงไปใต้ร่องกระเบื้อง รั่วซึมลงไปยังชั้นล่างต่อนั่นเอง นอกจากนี้ อาจจะมีสาเหตุมาจากการปลูกสร้างบ้าน คือ เวลาปูกระเบื้องไม่ทากันซึมก่อน เพราะก่อนปูกระเบื้องห้องน้ำควรต้องทากันซึมก่อนปูกระเบื้อง เพราะห้องน้ำเป็นพื้นที่ที่เราใช้เป็นประจำวันทุกวัน ซึ่งพื้นห้องน้ำมีการไหลผ่านของน้ำแทบจะตลอดทั้งวัน

เมื่อเวลาผ่านไป ยาแนวที่เสื่อมสภาพพร้อมกับการกัดเซาะของน้ำทำให้เกิดการรั่วซึมจากพื้นห้องน้ำชั้นบนลงไปที่ฝ้าด้านล่าง ทำให้เกิดรอยด่างดำบนฝ้าเพดานตามมา และหากตรวจสอบแล้ว ไม่พบสาเหตุของการเกิดน้ำรั่วดังกล่าว ก็อาจจะเกิดจากการเจาะท่อน้ำไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างท่อกับพื้นห้องน้ำ ซึ่งช่างส่วนใหญ่มักจะนำเศษกระดาษมาอุดไว้ จากนั้นใช้ปูนซีเมนต์เทอุดบริเวณรอบท่อ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการรั่วซึมบริเวณท่อได้ง่ายน่นเอง

อย่างไรก็ตาม ทางเรามีบริการ ติดตั้งระบบประปา ออกแบบท่อน้ำในอาคาร ติดตั้งสุขภัณฑ์ในห้องน้ำในอาคาร และระบบจัดการแบบครบวงจร โดยเราจะทำการประเมินวิเคราะห์และออกแบบวางแผนบำรุงรักษา ไม่เพียงแผนการซ่อมแซมตามปกติที่ต้องเข้าดูแลอย่างรวดเร็วเท่านั้น การวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกันที่ระเอียดรอบคอบและยังได้กำหนดไว้ในทุกโครงการ เพื่อให้ผลการบริหารจัดการของอาคารที่มีประสิทธิภาพอยู่ในงบประมาณที่สมเหตุสมผล ภายใต้ความปลอดภัยให้กับผู้ใช้อาคาร

หน้า: [1] 2 3 ... 29





















































รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ทำ SEO ติด Google
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ

smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย

เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า