มอเตอร์โชว์: Mazda CX-80 เปิดตัวในยุโรป เอสยูวีเบาะ 3 แถว 6-7 ที่นั่ง พร้อมเครื่อง 2.5 ลิตร PHEV และ 3.3 ลิตร ดีเซลเทอร์โบ2024 Mazda CX-80 เปิดตัวแล้วในยุโรป มาพร้อมแพลทฟอร์ม Skyactiv Multi-Solution Scalable Architecture แบบเดียวกับมาสด้าในยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องการยกระดับแบรนด์ให้พรีเมียมเทียบเท่าค่ายรถหรูจากยุโรป
CX-80 ยังมาพร้อมเครื่องยนต์วางหน้า วางตามยาว และระบบขับเคลื่อนล้อหลัง เหมือนกับรุ่นพี่ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้อย่าง CX-60, CX-70 และ CX-90 โดยจะต่างกับรุ่นอื่น ๆ ตรงที่รถคันนี้จะทำตลาดในพื้นที่ที่ต่างกันออกไป
CX-80 คือ CX-60 ที่ยาวกว่าและมีเบาะ 3 แถว
สำหรับ Mazda CX-80 มีแผนวางจำหน่ายในยุโรปในฤดูใบไม้ร่วงนี้ โดยจะเป็น SUV สามแถวรุ่นแรกของมาสด้าในภูมิภาคนี้เลยทีเดียว โดยวางตำแหน่งเป็นรุ่นเรือธงอยู่เหนือ CX-60 ส่วน CX-70 และ CX-90 จะจำหน่ายในภูมิภาคที่ต่างไป เช่น อเมริกาเหนือ ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า CX-60 และ CX-80 นั่นเอง
มิติตัวถัง Mazda CX-80
ความยาว 4,995 มม.
ความกว้าง 1,890 มม.
ความสูง 1,710 มม.
ระยะฐานล้อ 3,120 มม.
เมื่อเทียบกับ CX-60 จะพบว่ายาวกว่า 250 มม. สูงกว่า 24 มม. และมีฐานล้อยาวกว่า 250 มม. ส่วนความกว้างมีขนาดเท่ากัน โดย Mazda CX-80 จะมาแทน CX-8 และ CX-9 ซึ่งยุติการผลิตไปในปี 2023 ที่ผ่านมา
ดีไซน์ภายนอกของ Mazda CX-80
ในเรื่องของดีไซน์ CX-80 จะดูเหมือนกับ CX-60 ที่ยาวขึ้น และมีด้านท้ายที่ตั้งตรง ทำให้ส่วนของหน้าต่างและการตกแต่งหลายส่วนที่ต่างกันเล็กน้อย โดยยังอยู่ภายใต้ Kodo design ดังนั้น หน้าตาของ CX-80 จะคล้ายกับ CX-60 แต่จะยาวกว่าเล็กน้อย
จุดเด่นของรถคันนี้เริ่มที่ กระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมตกแต่งโครเมียมที่ทอดยาวไปยังไฟหน้าแบบเหลี่ยมที่มามีไฟ DRL รูปตัว L นอกจากนี้เรายังพบกับคิ้วสีดำที่กันชนพร้อมกับช่องดักอากาศด้านล่าง
สำหรับด้านหลัง ไฟท้ายมีดีไซน์เป็นรูปตัว L ล้อกับไฟหน้าคล้ายกับของ CX-60 แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ CX-80 จะไม่มีการตกแต่งบริเวณท่อไอเสียและให้ท่อซ่อนไปกับกันชนหลัง เนื่องจาก Mazda กล่าวในวันเปิดตัวว่าดีไซน์แบบนี้จะ “มีรูปลักษณ์ที่ดูสะอาดตาและหรูหรามากยิ่งขึ้น”
Mazda CX-80 มาพร้อมสีภายนอก 9 สีด้วยกัน ได้แก่ Jet Black, Deep Crystal Blue, Platinum Quartz, Arctic White, Rhodium White, Machine Grey, Soul Red Crystal, Artisan Red และ Melting Copper
นอกจากนี้ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วยังมีลวดลายที่แตกต่างกันให้เลือกเพื่อให้เข้ากับสีภายนอกอีกด้วย โดยมี 3 ลวดลาย ได้แก่ Homura, Takumi และ Exclusive-line
ภายในให้เทคโนโลยีจัดเต็ม
เมื่อเข้ามาที่ภายใน เราจะพบว่าดีไซน์ของบอร์ดนั้นคล้ายกับ CX-60 รวมถึงรุ่นพี่ที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้ โดยมาพร้อมมาตรวัดดิจิทัล, หน้าจอ infotainment ขนาด 12.3 นิ้ว, ระบบ Active Driving Display HUD, ระบบปรับอากาศ 2 โซน พร้อมช่องแอร์ให้เบาะทั้ง 3 แถว, แท่นชาร์จไร้สาย, ช่อง USB-C, ไฟห้องโดยสาร Ambient Light, Mazda Connect พร้อม Apple CarPlay และ Android Auto ไร้สาย รวมถึงระบบเทเลมาติกส์อย่าง MyMazda
สำหรับ CX-80 รุ่นสูง ๆ จะมีออพชั่นที่น่าสนใจอย่าง ม่านยังแดดด้านหลัง, พานอรามิคซันรูฟเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และลำโพง Bose 12 ตำแหน่ง
เบาะหลังเลือกได้ว่าจะเป็น 6 หรือ 7 ที่นั่ง
ส่วนที่โดดเด่นที่สุดสำหรับภายในของ CX-80 คือ เบาะนั่งแถวที่ 3 และการเลือกเบาะแถวหลังได้ตามต้องการ โดยแบบแรกจะเป็นแบบ 7 ที่นั่งจัดเรียงแบบ 2-3-2 และอีกแบบคือ 6 ที่นั่ง 2-2-2 ทำให้แถวที่ 2 จะเป็น Captain Seat และมีทางเดินไปยังแถวที่ 3 ได้อย่างสะดวกสบาย
สำหรับเบาะนั่งแถวที่ 2 เราจะได้ระยะการเลื่อนหน้า-หลังถึง 120 มม. และสามารถปรับเบาะเอนได้ตั้งแต่ 15 -33 องศา โดย Mazda เพิ่มพื้นที่บริเวณไหล่เป็น 1,476 มม. (มากกว่า CX-60 35 มม.) มีพื้นที่เหนือศรีษะที่ 996 มม. (มากกว่า CX-60 12 มม.) และเบาะแถวที่ 3 สามารถรองรับผู้โดยสารที่มีความสูง 170 ซม. ได้เลย
พื้นที่เก็บสัมภาระของ CX-80 จะเริ่มที่ 258 ลิตรเมื่อกางเบาะทั้ง 3 แถวออกมาแล้ว เมื่อพับเบาะแถว 3 จะมีพื้นที่ 687 ลิตร และหากพับเบาะทั้งหมดเราจะได้พื้นที่ถึง 1,221 ลิตร (1,971 ลิตรเมื่อนับถึงหลังคา) นอกจากนี้ยังมีออพชั่นฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Hands-Free เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการขนสัมภาระอีกด้วย
รถคันนี้ยังมีจุดเด่นตรงที่ระบบ driver personalisation system ที่จะใช้กล้องเพื่อช่วยระบุตำแหน่งการขับขี่ของคนขับและประเมินร่างการของเราอัตโนมัติว่าตำแหน่งการขับขี่ที่เหมาะสมจะเป็นอย่างไร
ระบบนี้ยังสามารถจดจำการตั้งค่าอื่น ๆ ของเราได้อีกด้วย และสามารถเก็บข้อมูลการขับขี่ได้มากสุดถึง 6 คน เลยทีเดียว
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ i-Activsense ครบครัน
Mazda CX-80 ทุกรุ่นจะมาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ i-Activsense ได้แก่
ระบบช่วยเบรค Smart Brake Support (SBS)
ระบบช่วยให้อยู่ในเลน Lane-keep Assist System (LAS)
ระบบช่วยอ่านป้ายจราจร Traffic Sign Recognition System (TSR)
ระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Monitoring (BSM)
ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ Driver Attention Alert (DAA)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Mazda Radar Cruise Control (MRCC) ที่จะอยู่ใน Driver Assistance package
นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยที่มีใน CX-80 เป็นครั้งแรก ได้แก่
Cruising & Traffic Support (CTS) ที่รองรับกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่ตอบสนอง
Smart Brake Support (SBS) ที่รองรับการชนที่เกี่ยวข้องกับศีรษะ
Emergency Lane Keeping (ELK) พร้อมระบบช่วยหลีกเลี่ยงการจราจรด้านหน้าแบบใหม่
ขุมพลัง 2 แบบ ทั้งแรงและประหยัด
สำหรับขุมพลังของ Mazda CX-80 ในยุโรปจะมี 2 แบบ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ i-Activ ได้แก่
2.5 e-Skyactiv PHEV
ขุมพลัง PHEV ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้า แรงบิด 261 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 175 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้กำลังรวมทั้งหมด 328 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ไฮบริดเป็นแบบลิเธียม-ไอออนขนาดความจุ 17.8 kWh สามารถขับในโหมด EV ได้สูงสุด 60 กม. สามารถทำ 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 195 กม./ชม.
3.3 e-Skyactiv D
เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบเรียง ขนาด 3.3 ลิตร เทอร์โบ พ่วงระบบไมลด์ไฮบริด 48V พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 0.33 kWh ให้กำลังสูงสุด 254 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถทำ 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 219 กม./ชม.
ทั้ง 2 ขุมพลังมาพร้อมระบบ Mi-Drive ซึ่งมาพร้อมการขับขี่ 5 โหมด ได้แก่ Normal, Sport, Off-Road, Towing และ EV (เฉพาะรุ่น PHEV) พร้อมกับระบบ Kinematic Posture Control (KPC) ช่วงล่างของรถด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบน และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ รวมถึงมีความสามารถในการลากจูงได้สูงสุด 2,500 กก.
Mazda มีเป้าหมายยกระดับแบรนด์ให้พรีเมียมมากขึ้น มารอดูกันว่าเอสยูวีของมาสด้าจะเป็นอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่ และจะเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราเมื่อไหร่ เพราะเราจะเห็นได้ว่า Mazda ประเทศไทยไม่มีรถรุ่นใหม่มาสักพักแล้ว