“โรคมะเร็ง” โรคร้ายที่หากรู้ก่อน รู้เร็ว สามารถรักษาหายได้โรคมะเร็ง (cancer) เป็นโรคร้ายแรงที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของประชากรทั่วโลกองค์การอนามัยโลกรายงานว่าในปี 2020 มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเกือบ 10 ล้านคนทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย โรคมะเร็งก็นับเป็นสาเหตุอันดับ 1 เช่นกันที่คร่าชีวิตคนไทยติดต่อกันหลายปี กองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า ในปี 2562 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 84,073 คนต่อปี ทั้งนี้โรคมะเร็งนับเป็นโรคเรื้อรังและร้ายแรง โดยทั่วไปไม่มีอาการที่จำเพาะเจาะจง อาการที่แสดงออกของแต่ละคนมักขึ้นกับชนิดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง โดยที่อาการแสดงที่ชัดเจนมักมีให้เห็นเมื่ออยู่ในระยะลุกลาม ทำให้การตรวจพบมะเร็งมักอยู่ในระยะที่มีการลุกลามแล้ว ทำให้การรักษาซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นหากตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ในระยะต้นจึงมีโอกาสที่จะรักษาให้หายเป็นปกติได้มากกว่า
โรคมะเร็งคืออะไร?
โรคมะเร็ง คือ โรคที่มีการเจริญของเซลล์ที่ผิดปกติ โดยเซลล์มะเร็งจะมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วกว่าเซลล์ปกติของร่างกาย และร่างกายไม่สามารถกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้ได้ทัน ทำให้เซลล์มะเร็งเหล่านี้เพิ่มจำนวนและกลายเป็นเนื้องอกที่ผิดปกติ มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนไปกดเบียดและทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ๆ และอวัยวะข้างเคียง และหากไม่ได้รับการรักษาเซลล์มะเร็งเหล่านี้สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปผ่านระบบไหล เวียนเลือดและน้ำเหลือง ทำให้อวัยวะเหล่านั้นมีเซลล์มะเร็งไปเจริญอยู่และแบ่งตัวเป็นเนื้อเยื่อมะเร็งแล้วทำลายอวัยวะนั้น ๆ ซึ่งหากมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะหลาย ๆ ระบบก็จะทำให้การทำงานของร่างกายเสียไป จนอาจนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
ชื่อเรียกโรคมะเร็งในภาษาอังกฤษว่า “cancer” มาจากคำในภาษากรีกว่า “cancinos” ซึ่งแปลว่า ปู (crab) โดยฮิปโปเครตีส (Hippocrates) บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า cancer เนื่องจากเซลล์มะเร็งมีลักษณะการลุกลามออกไปจากตัวก้อนมะเร็งเหมือนกับขาปูที่ออกไปจากตัวปู
แม้ว่ามะเร็งจะเป็นเนื้องอกชนิดหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามเนื้องอกของอวัยวะต่าง ๆ อาจไม่ใช่มะเร็งเสมอไป เนื้องอกเหล่านั้นอาจเป็นเพียงเนื้องอกธรรมดาที่ไม่ลุกลามไปทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ทั้งนี้การวินิจฉัยว่าเนื้องอกนั้น ๆ เป็นมะเร็งหรือไม่ ต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้วย
เนื้องอกชนิดธรรมดากับมะเร็งต่างกันอย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือเนื้องอกธรรมดาก็จะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อหรือตุ่ม ที่เกิดจากการเจริญและแบ่งตัวที่มากเกินไปของเซลล์ร่างกาย อย่างไรก็ตามเราสามารถแยกความแตกต่างของเนื้องอกธรรมดาและมะเร็งคร่าว ๆ ได้จากลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
เนื้องอกชนิดธรรมดาจะมีลักษณะ
โตช้า การเพิ่มขนาดของก้อนเนื้องอกจะมีค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น
เมื่อก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้นอาจมีการกดเบียดเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใกล้เคียง แต่จะไม่ทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ๆ
ก้อนเนื้องอกจะไม่ลุกลามเข้าหลอดเลือด ระบบไหลเวียนเลือด หลอดน้ำเหลือง และระบบไหลเวียนน้ำเหลือง ดังนั้นเนื้องอกชนิดนี้จะไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป
รักษาได้ด้วยการผ่าตัด
ก้อนมะเร็งจะมีลักษณะ
เซลล์มะเร็งจะแบ่งตัวเร็วจึงทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลุกลามทำลายอวัยวะข้างเคียงจนอวัยวะนั้น ๆ ทำงานผิดปกติไป
ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ข้างเคียง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต
เซลล์มะเร็งสามารถลุกลามและแพร่กระจายเข้าสู่หลอดเลือด ระบบไหลเวียนเลือด หลอดน้ำเหลือง ระบบไหลเวียนน้ำเหลือง และอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ตับ สมอง ไต กระดูก ไขกระดูก หรืออวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป
มะเร็งมักจะไม่สามารถรักษาหายได้ด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ต้องรักษาแบบผสมผสานหลายวิธีร่วมกัน
โรคมะเร็งมีกี่ชนิด?
ปัจจุบันพบว่ามีมะเร็งมากกว่า 100 ชนิด โดยจะเรียกชื่อตามอวัยวะที่เกิดมะเร็งมะเร็ง เช่น
มะเร็งปอด
มะเร็งเต้านม
มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งลำไส้ใหญ่
มะเร็งกระเพาะอาหาร
มะเร็งตับ
มะเร็งผิวหนัง
มะเร็งไทรอยด์
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งสมอง
หรือมะเร็งของอวัยวะอื่น ๆ
หรือเรียกชื่อตามชนิดของเซลล์ที่เกิดมะเร็ง เช่น
คาซิโนมา (carcinoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อบุอวัยวะภายใน เป็นชนิดของมะเร็งที่พบมากที่สุด เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด เป็นต้น
ซาโคมา (sarcoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์กระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อ หรือหลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง เช่น มะเร็งกระดูก
ลิวคิเมีย (leukemia) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้เกิดความผิดปกติของเม็ดเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือด
ลิมโฟมา (lymphoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด lymphocytes (T call หรือ B cell) เป็นเซลล์ในต่อมน้ำเหลืองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เรียกชื่อมะเร็งชนิดนี้ว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มัลติเปิลไมอิโลมา (multiple myeloma) เป็นมะเร็งของเซลล์เม็ดเลือดชนิดพลาสมาเซลล์ (plasma cell) ที่เป็นเซลล์ชนิดหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เซลล์ชนิดนี้จะอยู่ในไขกระดูก ทำให้บางคนเรียกมะเร็งชนิดนี้ว่า มะเร็งไขกระดูก
เมลาโนมา (melanoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดสี (melanocyte) ซึ่งอยู่ที่ชั้นผิวหนังและบริเวณม่านตา
มะเร็งระบบสมองและไขสันหลัง (central nervous system cancers) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ประสาททั้งที่อยู่ในสมองและไขสันหลัง
เซลล์มะเร็งชนิดอื่น ๆ ได้แก่
Germ cell tumors เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์สืบพันธุ์
Neuroendocrine tumors เป็นมะเร็งที่มีเกิดจากเซลล์ที่สร้างและหลั่งฮอร์โมนและทำงานสัมพันธ์กับระบบประสาทที่เรียกว่า neuroendocrine cell
ซึ่งโดยทั่วไปเราจะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะที่เป็น แต่ในทางการแพทย์มักแบ่งชนิดของมะเร็งตามชนิดของเซลล์ที่เกิดมะเร็ง เพราะเซลล์มะเร็งแต่ละชนิดมีการดูแลรักษา และการดำเนินโรคที่ต่างกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนรักษามะเร็งแต่ละชนิด
โรคมะเร็งที่พบบ่อย
โรคมะเร็ง พบได้ในทุกเพศและทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จากข้อมูลที่มีการรายงานโดยองค์การอนามัยโลก ได้รายงานสถิติอุบัติการณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งของประเทศไทยในปี 2020 แบ่งตามเพศดังนี้
โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ชายไทย 5 อันดับแรก
มะเร็งตับและท่อน้ำดี
มะเร็งปอด
มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
มะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย 5 อันดับแรก
มะเร็งเต้านม
มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งตับและท่อน้ำดี
มะเร็งปอด
โรคมะเร็งเกิดจากอะไร?
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง แต่จากข้อมูลทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์พบว่ามะเร็งอาจเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างรวม ๆ กัน ทั้งปัจจัยภายในร่างกาย เช่น เพศ พันธุกรรม ปัจจัยภายนอก เช่น ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สารเคมีต่าง ๆ พฤติกรรมการใช้ชีวิต
ปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง
ปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ปัจจัยภายนอกร่างกายหรือจากสิ่งแวดล้อม และปัจจัยภายในร่างกาย ดังนี้
1. ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงได้ด้วยการปรับรูปแบบการดำเนินชีวิตหรือหลีกเลี่ยงการใช้หรือสัมผัสปัจจัยเหล่านี้
สารเคมีบางชนิด
สีย้อมผ้า มีสารกลุ่มไนโตรซามิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
สารอะฟลาทอกซินซึ่งเป็นสารพิษจากเชื้อรา ที่ปนเปื้อนในอาหาร โดยเฉพาะในอาหารแห้งต่าง ๆ เช่น ถั่ว พริกแห้ง ธัญพืชแห้ง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งตับ
สารเคมีในควันบุหรี่และเขม่ารถยนต์ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งช่องปากและมะเร็งปอด
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ
สารพิษจากเนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธีการปรุงแต่ง เช่น รมควัน ปิ้ง ย่าง ทอดจนไหม้เกรียม ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลายชนิด
สารเคมีบางชนิดจากกระบวนการอุตสาหกรรม
รังสีต่าง ๆ ได้แก่ กัมมันตรังสี รังสีเอกซเรย์ที่ได้รับเกินมาตรฐาน และรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นต้น
การติดเชื้อเรื้อรัง ได้แก่
ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี และชนิดซี สัมพันธ์กับมะเร็งตับ
เชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ซึ่งอยู่ในกระเพาะอาหารสัมพันธ์กับมะเร็งกระเพาะอาหาร
ไวรัส Ebstein-Barr มีความสัมพันธ์กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งโพรงหลังจมูก
ไวรัส human papilloma เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
พยาธิใบไม้ตับ ซึ่งจะมากับการรับประทานอาหารแบบสุก ๆ ดิบ ๆ สัมพันธ์กับมะเร็งท่อน้ำดี
2. ปัจจัยภายในร่างกาย เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่
อายุที่มากขึ้น จะเสี่ยงต่อมะเร็งมากขึ้น
พันธุกรรม หากมีประวัติพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องเป็นมะเร็ง จะทำให้มีความเสี่ยงต่อมะเร็งมากขึ้น
ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การการระคายเคืองซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
ภาวะทุพโภชนาการ หรือร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
การวินิจฉัยโรคมะเร็ง
การวินิจฉัยโรคมะเร็งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
การตรวจร่างกายโดยแพทย์ หรือในมะเร็งบางชนิดเราสามารถตรวจร่างกายด้วยตัวเองได้เบื้องต้น เช่น มะเร็งเต้านม
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ และตรวจเสมหะ เป็นต้น
การตรวจทางพยาธิวิทยา โดยการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อที่สงสัยไปตรวจเพื่อดูลักษณะของเซลล์ว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่
ตรวจทางรังสี เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เอกซเรย์เฉพาะอวัยวะ การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ เป็นต้น
ตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษต่าง ๆ เช่น การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก กระเพาะอาหาร และลำคอ การตรวจอัลตราซาวนด์อวัยวะต่าง ๆ การตรวจเอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้าอวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น
อาการของโรคมะเร็ง
มะเร็งระยะแรกมักไม่แสดงอาการ และบ่อยครั้งที่ตรวจพบจากการตรวจสุขภาพ อาการของโรคมะเร็งขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง โดยอาจมีอาการต่าง ๆ ดังนี้
มีไข้
มีไข้ต่ำ ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุ
มีไข้สูงบ่อย ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุ
มีเลือดออก
อาเจียนเป็นเลือด
ปัสสาวะเป็นเลือด
อุจจาระเป็นเลือด มูก หรือมูกเลือด
มีรอยจ้ำ เป็นห้อเลือดง่าย หรือมีจุดแดงตามผิวหนัง
มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ ประจำเดือนผิดปกติ มีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
อาการปวด
ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง
ปวดหลังเรื้อรัง และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความผิดปกติของระบบประสาท
แขนและ/หรือขาอ่อนแรง
มีอาการชัก โดยที่ไม่มีประวัติของโรคอื่น ๆ ที่ทำให้มีอาการชัก
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
ท้องผูกสลับท้องเสีย
ท้องอืด ปวดเสียด ท้องเฟ้อแน่น อึดอัดท้อง เป็นเวลานาน
น้ำหนักลดลงมาก โดยไม่ทราบสาเหตุ
ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด ปัสสาวะเล็ด โดยไม่ทราบสาเหตุ
ความผิดปกติอื่น ๆ
กลืนลำบาก
เสียงแหบ ไอเรื้อรัง
แผลหายยาก รักษาไม่หาย
มีการเปลี่ยนแปลงของหูดและไฝตามร่างกาย
มีก้อนหรือตุ่มต่าง ๆ ตามร่างกาย
7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง
โรคมะเร็งอาจไม่มีอาการแสดง หรือหากมีอาการก็อาจไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ หรือเป็นมะเร็งชนิดใด ดังนั้นหากสงสัยว่ามีอาการของโรคมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยโรคให้ชัดเจน โดยอาการเบื้องต้นที่อาจเป็นอาการของโรคมะเร็ง ได้แก่
มีก้อนเนื้อโตเร็วหรือมีแผลเรื้อรังไม่หายภายใน 1 – 2 สัปดาห์ หลังการดูแลรักษาเบื้องต้น
เสียงแหบ ไอเรื้อรัง มีเสมหะ หรือเสมหะปนเลือด
กลืนอาหารลำบาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
หายใจหรือมีกลิ่นปากรุนแรงโดยจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ระบบขับถ่ายแปรปรวน มีการถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะผิดปกติ หรือเปลี่ยนไปจากเดิม
ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลง มีลักษณะของหูด ไฝ ปาน โตขึ้น หรือผิดปกติ หรือเป็นแผลแตก
มีเลือดหรือของเหลวผิดปกติไหลออกจากร่างกาย เช่น เลือดกำเดาออกเรื้อรัง (อาจเป็นข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้) มีตกขาวผิดปกติ มีเลือดหรือของเหลวออกจากหัวนม เป็นต้น