Doctor At Home: มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่งของช่องปาก ซึ่งรวมถึงริมฝีปาก, ลิ้น (โดยเฉพาะขอบลิ้น), เยื่อบุในกระพุ้งแก้ม, เพดานปาก, พื้นช่องปาก (ใต้ลิ้น), เหงือก, และทอนซิล โดยส่วนใหญ่ มะเร็งช่องปากมักเป็นชนิด Squamous Cell Carcinoma ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ผิวหนังที่บุในช่องปาก
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
มะเร็งช่องปากเกิดจากการที่เซลล์ปกติในช่องปากมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างควบคุมไม่ได้ สาเหตุที่ชัดเจนมักเกิดจากการได้รับสารก่อมะเร็งหรือปัจจัยเสี่ยงบางอย่างเป็นเวลานาน:
การสูบบุหรี่และยาสูบทุกชนิด: เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ มวนยาสูบ ซิการ์ หรือการเคี้ยวยาสูบ สารเคมีในยาสูบจะสัมผัสกับเยื่อบุช่องปากโดยตรงและทำลายเซลล์
การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดื่มร่วมกับการสูบบุหรี่ จะเพิ่มความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างทวีคูณ
การเคี้ยวหมาก/พลู: การเคี้ยวหมาก/พลู ร่วมกับปูนแดง และใบยาสูบ เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งช่องปากในบางภูมิภาค รวมถึงภาคใต้ของประเทศไทย
การติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus): โดยเฉพาะสายพันธุ์ HPV 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก มีความเชื่อมโยงกับมะเร็งช่องปาก โดยเฉพาะบริเวณคอหอยส่วนปากและทอนซิล
การได้รับแสงแดดจัด: มะเร็งริมฝีปากมักเกี่ยวข้องกับการได้รับรังสียูวีจากแสงแดดจัดเป็นเวลานาน
ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ) หรือผู้ติดเชื้อ HIV มีความเสี่ยงสูงขึ้น
การระคายเคืองเรื้อรัง: เช่น ฟันที่แหลมคม ขอบฟันปลอมที่ไม่พอดี หรือการกัดกระพุ้งแก้มซ้ำๆ อาจเป็นปัจจัยร่วม แต่ไม่ถือเป็นสาเหตุหลักโดยตรง
ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง (Precancerous Lesions):
ฝ้าขาว (Leukoplakia): เป็นรอยฝ้าขาวบนเยื่อบุช่องปากที่ไม่สามารถขูดออกได้ อาจเป็นภาวะก่อนเป็นมะเร็งได้
ฝ้าแดง (Erythroplakia): เป็นรอยสีแดงเรียบหรือเป็นเม็ดเล็กๆ ที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งสูงกว่าฝ้าขาวมาก
อาการและอาการแสดง
ในระยะแรก มะเร็งช่องปากอาจไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ ทำให้ถูกละเลยได้ง่าย อาการที่ควรสังเกตและควรรีบไปพบแพทย์ ได้แก่:
แผลในปากที่ไม่หาย: มีแผลในปากที่ไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์ แม้จะดูแลรักษาแล้วก็ตาม แผลอาจมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ขอบไม่เรียบ หรือเป็นหลุม
ก้อนหรือตุ่มในปาก: มีก้อนแข็ง หรือตุ่มที่สามารถคลำได้ในช่องปาก หรือบนริมฝีปาก และอาจมีเลือดออกง่ายเมื่อสัมผัส
รอยด่างขาวหรือแดง: มีรอยฝ้าขาว (Leukoplakia) หรือรอยแดง (Erythroplakia) ที่ไม่หายไป
เจ็บปากหรือเจ็บคอ: เจ็บปากโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเจ็บคอเรื้อรัง หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ
กลืนหรือเคี้ยวลำบาก: รู้สึกเจ็บหรือติดขัดขณะเคี้ยวหรือกลืนอาหาร
เสียงเปลี่ยน: เสียงแหบพร่า หรือเสียงพูดเปลี่ยนไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
ขยับลิ้นหรือขากรรไกรลำบาก: รู้สึกติดขัด หรือปวดเมื่อพยายามขยับลิ้นหรืออ้าปาก
ฟันโยกหรือหลุด: ฟันที่เคยแข็งแรงกลับโยกหรือหลุดออกมาโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
น้ำหนักลด: มีน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการชา: มีอาการชาหรือปวดที่ใบหน้า ลำคอ หรือช่องปาก
ต่อมน้ำเหลืองโต: คลำพบก้อนที่ลำคอ ซึ่งอาจเป็นต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้น
การวินิจฉัย
หากสงสัยว่ามีอาการมะเร็งช่องปาก แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดย:
การตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจดูช่องปากและลำคออย่างละเอียด คลำหาก้อนหรือความผิดปกติ
การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัย โดยจะทำการตัดชิ้นเนื้อจากบริเวณที่สงสัยไปตรวจทางพยาธิวิทยา
การตรวจทางรังสีวิทยา: เช่น CT scan, MRI, PET scan เพื่อประเมินขนาด การแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง หรือไปยังอวัยวะอื่นๆ
การรักษา
แนวทางการรักษามะเร็งช่องปากขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค ตำแหน่ง และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยทั่วไปมีวิธีหลักดังนี้:
การผ่าตัด (Surgery): เป็นการรักษาหลักสำหรับมะเร็งช่องปากระยะเริ่มต้นและปานกลาง โดยจะตัดก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบข้างออก อาจมีการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่คอร่วมด้วย หากมะเร็งมีการแพร่กระจายไป
รังสีรักษา (Radiation Therapy): การใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง อาจใช้เดี่ยวๆ สำหรับมะเร็งระยะเริ่มต้น หรือใช้ร่วมกับการผ่าตัด (หลังผ่าตัดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลือ หรือก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดก้อนมะเร็ง)
เคมีบำบัด (Chemotherapy): การใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง มักใช้ร่วมกับรังสีรักษาในกรณีที่มะเร็งลุกลามมาก หรือมีการแพร่กระจายไปแล้ว หรือเพื่อควบคุมอาการ
การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): เป็นยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง มักใช้ในมะเร็งระยะลุกลาม
ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): การใช้ยาเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
การป้องกัน
การป้องกันมะเร็งช่องปากสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ:
งดสูบบุหรี่และยาสูบทุกชนิด: รวมถึงการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
งดหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์:
หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมาก/พลู:
ฉีดวัคซีน HPV: สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและช่วงอายุที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด: โดยเฉพาะที่ริมฝีปาก ควรใช้ลิปบาล์มที่มีสารกันแดด หรือสวมหมวก
ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ: ควรไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปาก หากพบรอยโรคที่น่าสงสัย จะได้ทำการวินิจฉัยและรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
รักษาสุขอนามัยในช่องปากที่ดี: แปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟัน และแก้ไขปัญหาฟันผุหรือฟันแตกที่มีขอบคม
หากคุณมีอาการที่น่าสงสัย หรือมีความกังวลเกี่ยวกับมะเร็งช่องปาก ไม่ควรรอช้า ควรรีบไปพบทันตแพทย์หรือแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุดครับ